ตามที่ปรากฏภาพข่าวเมื่อ 19 มี.ค.64 ว่าประธานาธิบดีโจเซฟ ไบเดนสะดุดพรมแดงระหว่างเดินขึ้นบันไดของเครื่องบินประจำตำแหน่ง หรือแอร์ฟอร์ซวัน ถึง 3 จังหวะ ก่อนถึงประตูเครื่องบินและหันมาโบกมือให้ผู้สื่อข่าวตามธรรมเนียม ระหว่างการเดินทางไปรัฐจอร์เจีย ปัจจุบันโฆษกทำเนียบประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยืนยันแล้วว่า ประธานาธิบดีไบเดนยังคงมีสุขภาพแข็งแรง 100 % และสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามปกติ รวมทั้งอธิบายสถานการณ์ว่าเกิดจากลมที่พัดแรง ณ ท่าอากาศยาน Joint Base Andrews รัฐแมรีแลนด์
แม้ประธานาธิบดีไบเดนจะไม่ใช่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ คนแรกที่เจอปัญหาระหว่างการขึ้นบันไดของแอร์ฟอร์ซวัน ไม่ว่าจะลื่นหรือสะดุดล้ม เพราะอดีตรองประธานาธิบดีไมเคิล เพนส์ อดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา และอดีตประธานาธิบดี Gerald Ford ก็เคยประสบปัญหาเดียวกันมาแล้ว แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ตอกย้ำความห่วงกังวลของหลายฝ่ายเกี่ยวกับสุขภาพของประธานาธิบดีไบเดน ซึ่งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีอายุมากที่สุดถึง 78 ปี และก่อนหน้านี้เมื่อ พ.ย.63 เพิ่งประสบอุบัติเหตุลื่นล้มขณะเล่นกับสุนัขของตน (“เมเจอร์” สุนัขพันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ด) จนทำให้กระดูกเท้ามีรอยร้าวและต้องใส่รองเท้าหุ้มเฝือกอยู่หลายสัปดาห์ อีกทั้งยังเป็นโอกาสให้นายโดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ บุตรชายของอดีตประธานาบดีโดนัลด์ ทรัมป์ใช้วิจารณ์สื่อมวลชนของสหรัฐฯ ว่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ และเลือกปฏิบัติ เพราะสื่อเคยวิจารณ์ท่าเดินลงบันไดอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ระหว่างการเยือนโรงเรียนเตรียมทหาร West Point Military Academy เมื่อ ม.ย.63 ว่าเดินกระย่องกระแย่ง และคาดเดาไปว่าอดีตประธานาธิบดีสุขภาพไม่แข็งแรง ซึ่งทำให้อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ไม่พอใจอย่างมาก และเปิดสงครามวิวาทกับสื่อมวลชนไปอีกรอบหนึ่ง
ครั้งนี้ สื่อมวลชนสหรัฐฯ ช่วยประธานาธิบดีไบเดนไว้ได้ โดยส่วนใหญ่จะรายงานไปในทิศทางเดียวกันว่าประธานาธิบดีไบเดนมีสุขภาพแข็งแรงดี และรายงานตามข้อเท็จจริงจากภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ความเห็นของผู้ที่มาอ่านข่าวก็แตกเป็นหลายฝ่าย ทั้งฝ่ายที่เชื่อว่าการสะดุดล้มเป็นเรื่องปกติ ฝ่ายที่เชื่อมั่นว่าประธานาธิบดีไบเดนแข็งแรงดี และฝ่ายที่เชื่อว่าประธานาธิบดีไบเดนใกล้จะแสดงให้เห็นว่าไม่พร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งชี้ว่าประธานาธิบดีไบเดนกำลังเผชิญกับโรคสมองเสื่อม (Alzheimer’s Disease)
ทั้งนี้ การยืนยันว่าผู้นำของประเทศยังมีสุขภาพแข็งแรงและปฏิบัติหน้าที่ได้ตามปกติเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง อย่างน้อยข่าวเกี่ยวกับสุขภาพของผู้นำสหรัฐฯ ก็มีผลต่อตลาดหลักทรัพย์ ยิ่งไปกว่านั้น สุขภาพของผู้นำสหรัฐฯ ที่ยังอยู่ในช่วงแรกของการทำงานยังมีผลต่อ “ภาพลักษณ์” ของประเทศและคณะรัฐบาลทั้งชุด เฉพาะอย่างยิ่งในห้วงนี้ที่สหรัฐฯ ต้องการเห็นผู้นำที่จะทำให้ประเทศกลับมาดีขึ้นทั้งภายในและในเวทีระหว่างประเทศ ตามคอนเซปต์ Build Back Better และประชาคมระหว่างประเทศก็ต้องการเห็นผู้นำสหรัฐฯ ที่เป็นผู้นำโลกอย่างแข็งแกร่งและสร้างสรรค์ ดังนั้น การที่ผู้นำดูมีสุขภาพดี เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในห้วงเวลานี้
เมื่อปี 2558 มหาวิทยาลัย VU University of Amsterdam เคยเผยแพร่งานวิจัยในนิตยสาร Frontiers in Human Neuroscience บอกว่า คนส่วนใหญ่อยากเลือกผู้นำที่ดูสุขภาพดี มากกว่าดูฉลาด ด้วยซ้ำไป อย่างไรก็ดี ในยุคปัจจุบัน ผู้นำในทุกระดับอาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีทั้ง 2 อย่าง เพื่อสร้างความเชื่อมั่น เพราะต้องยอมรับว่าสื่อมวลชน ประชาชน รวมทั้งทั่วโลกอาจจะกำลังจับตาดูทุกก้าวเดิน
เรียบเรียงจาก
https://hbr.org/2015/01/for-leaders-looking-healthy-matters-more-than-looking-smart
https://www.foxnews.com/politics/biden-stumbles-multiple-times-air-force-one-stairs
https://www.theguardian.com/us-news/2020/jun/14/trump-unsteady-walk-down-west-point-ramp