ในทุกๆครั้งที่มีการกลับตัวของกราฟแท่งเทียนของตลาด Cryptocurrency จากเทรนด์ขาขึ้นไปสู่ขาลง และโดยเฉพาะกับเหตุการณ์เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ 17-21 พฤษภาคม 2564 ที่ราคาของเหรียญ Bitcoin ถูกกระชากลงมาจากเส้น Resistance เดิมที่ประมาณ 60,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,900,000 กว่าบาทในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคม ลงมาจนเกือบจะหลุดแนวเส้น Support ที่ 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 900,000 กว่าบาท สิ่งที่คนจำนวนมากมักพูดเป็นเสียงเดียวกัน คือ “เพราะการทวีตข้อความของ Elon Musk” มหาเศรษฐีผู้บริหารบริษัท Tesla ที่ออกมาแสดงความคิดเห็นในเชิงปลุกปั่นและล่อลวงให้นักลงทุนระยะสั้น (day-traders) ดาหน้ากันเข้าไปซื้อเหรียญ Dogecoin จนราคาถูกดึงขึ้นจาก 1 cent ในช่วงมกราคม 2564 ไปสู่ 8 cent ช่วงกุมภาพันธ์ และ 0.7 ดอลลาร์สหรัฐในต้นเดือนพฤษภาคม 2564
แน่นอน Elon Musk และพฤติกรรมการปลุกปั่น/ชี้นำของเขาบน Twitter มีส่วนช่วยให้ราคาของเหรียญ Dogecoin และที่สำคัญที่สุดคือเหรียญ Bitcoin มีราคาพุ่งทะลุเส้น Resistance แต่ละเส้นจนสามารถทำลายสถิติราคาสูงสุดตลอดการณ์ (Breaking the All-Time High) ไปได้อยู่บ่อยครั้ง ในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมานี้ แต่ไม่ได้แปลว่า Elon Musk คือผู้มีอิทธิพลถึงขั้นสามารถกำหนดทิศทางของตลาดได้แบบที่นักลงทุนหน้าใหม่หลายๆคนหลงเข้าใจกัน สิ่งแรกที่ต้องเข้าใจก่อนจะเข้าสู่ตลาดเหรียญ Cryptocurrency นี้คือ ธรรมชาติของตลาดและตัวเหรียญ Crypto เหล่านี้ มีลักษณะเป็นระบบนิเวศ เป็นวงจร และถูกออกแบบมาในสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนหลักการกระจายอำนาจออกจากศูนย์กลาง (decentralization) ซึ่งหมายถึงภาวะที่ไม่มีศูนย์กลาง ไม่มีศูนย์ควบคุม ไม่มีกลไกหรือองค์กรใด ๆ ที่เข้ามากำหนด หรือ ควบคุมตลาด Cryptocurrency แบบตลาดหลักทรัพย์ที่ต้องมีคณะกรรมการกำกับฯ เข้ามาช่วยดูแลนักลงทุน ออกนโยบายปกป้องนักลงทุนแบบรวมศูนย์ (centralization) ที่สำคัญคือ ไม่มีกฎหมายควบคุม (regulator-free)
โดยพื้นฐานแล้วเหรียญในตลาด Cryptocurrency จึงเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความผันผวนสูงตามธรรมชาติและบริบทในตัวของมันเองอยู่แล้ว การที่ราคาของเหรียญใดเหรียญหนึ่งจะปรับขึ้นหรือลงเป็นรายนาที (TF1) ระหว่าง 20-30% เป็นเรื่องปกติที่พบได้ในเกือบทุก ๆ วัน เนื่องจากเป็นสิ่งที่ไม่มีกลไกใด ๆ จากโลกในยุคศตวรรษที่ 20 มาแทรกแซงเหมือนกับเงินตรา (fiat currency) ที่มีความผูกโยงอยู่กับนโยบายของรัฐบาล จุดนี้ทำให้เหรียญ Cryptocurrency เป็นเหรียญที่มีความเสี่ยงในการจะได้รับผลกระทบจากข่าวลือหรือปัจจัยภายนอกสูงขึ้น กล่าวคือ ไม่ใช่แค่ระบบนิเวศของเหรียญ และ Blockchain เท่านั้นที่วิวัฒนาการไปในทิศทางที่หนีห่างออกจากศูนย์กลาง แต่ปัจจัยที่เป็นเงื่อนไขด้านการกำหนดมูลค่าของมันก็วิวัฒนาการขึ้นไปในทิศทางที่หนีออกจากศูนย์กลางด้วยไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะมันเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ได้มีเงินดอลลาร์สหรัฐ หรือ ระบบทองคำหนุนหลังเป็นตัวสำรองมูลค่าให้เหมือนกับสินทรัพย์ชนิดอื่น ๆ ดังนั้นในความเป็นจริงแล้วมันจึงไม่ได้มีแค่ทวีตข้อความของ Elon Musk ที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางของตลาด แต่ยังมีปัจจัยจำพวกนโยบายของรัฐบาล และการเมืองในเรื่องเหมือง (politics of crypto-mining) อีกด้วย
หากลองย้อนกลับไปดูที่กราฟแท่งเทียนในภาพรวมอย่างใจเย็น จะพบกับความจริงที่ว่า Elon Musk ไม่ใช่ผู้ที่กำหนดทิศทาง หรือมีบทบาทหลักในการเจริญเติบโตของเหรียญ Bitcoin เพราะเหรียญ Bitcoin นั้นอยู่ในเทรนด์ขาขึ้นมาตั้งแต่ช่วงหลังเหตุการณ์ลดอัตราผลตอบแทนจากการทำเหมือง Bitcoin (Bitcoin halving) รอบล่าสุดเมื่อ 1 ปีที่ผ่านมาจาก 12.5 เหรียญ เหลือ 6.25 เหรียญ (แปลว่ากลุ่มคนที่ทำเหมืองจะได้รับเหรียญ Bitcoin เพียง 6.25 เหรียญจากการขุด 1 บล็อก) พอจำนวนเหรียญที่ขุดออกมาได้มีปริมาณน้อยลง แต่ความต้องการในการถือครองสินทรัพย์ของนักลงทุนมีเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ราคาของเหรียญ Bitcoin จึงถูกดึงขึ้นไปอยู่ในเทรนด์ขาขึ้นทันทีหลังเหตุการณ์ Halving ครั้งล่าสุด ซึ่งก็ทำให้ราคาของเหรียญมีสูงขึ้นเรื่อย ๆ จาก 10,000 ดอลลาร์สหรัฐในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2563 ขึ้นไปสู่ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐในช่วงปลายปี 2563 มูลค่าของเหรียญ Bitcoin เติบโตขึ้นเรื่อยๆมาตลอด เรียกได้ว่าอยู่ในเทรนด์ขาขึ้นมาตลอดเกือบ ๆ จะ 1 ปี
การที่ Elon Musk ทวีตข้อความแล้วราคาปรับตัวสูงขึ้นนั้นเป็นเพียงปรากฏการณ์เล็ก ๆ ที่สะท้อนว่ามีนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาสู่ตลาดในปริมาณมหาศาลขึ้นในช่วงต้นปี 2564 เท่านั้น ราคาจึงสูงขึ้นเป็นเท่าตัวอย่างรวดเร็วจนเกินมูลค่าดั้งเดิมของมัน (overbought) หากพิจารณาจากตัวชี้วัด CCI (Commodity Channel Index) ที่กราฟแทบจะแตะทะลุเลข 200-250 ทุก ๆ สัปดาห์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าหลังจาก Elon Musk ทวีตข้อความมีผลกระตุ้นให้นักลงทุนหน้าใหม่รีบกระโดดเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาเกือบครึ่งแรกของปี 2564 และส่งผลต่อการเจริญเติบโตของราคาเหรียญ Bitcoin และเมื่อราคาของเหรียญเติบโตอย่างก้าวกระโดดบนเทรนด์ขาขึ้นมาเป็นระยะเวลานานหลายเดือน จนแรงซื้อของนักลงทุนเริ่มเบาบางลง ราคาจึงเริ่มเข้าสู่เทรนด์ขาลง ซึ่งถ้าพิจารณาอย่างระมัดระวังจะเห็นได้โดยอัตโนมัติว่าแนวโน้มราคาเหรียญ Bitcoin นั้นปรับตัวในช่วงขาลงมาได้สักพักแล้ว บวกกับปัจจัยเรื่องนายทุนและนักลงทุนรายใหญ่ (whales) จำนวนมากต้องการที่จะทุบราคาให้มีต่ำลงเพื่อจะช้อนซื้อเหรียญให้ได้มากขึ้น ราคาจึงปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว
พอราคาปรับตัวในทิศทางขาลงแบบนี้ จึงเกิดปรากฏการณ์ที่นักลงทุนรายย่อยที่ไม่กล้ารับความเสี่ยงของตลาดต้องรีบเทขายเหรียญแบบขาดทุนจากภาวะตื่นตระหนก (panic sell) จริงอยู่ที่ทวีตข้อความของ Elon Musk เมื่อช่วงมกราคม 2021 มีส่วนช่วยให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ปัจจัยเล็ก ๆ ทางจิตวิทยาที่หลอกล่อให้นักลงทุนรายใหม่เข้าไปในตลาด ซึ่งท้ายที่สุดราคาเหรียญก็จะมีช่วงปรับฐานลงมาให้กลับมาอยู่ที่มูลค่าแท้จริงของมันอยู่ดี ทวีตข้อความของ Elon Musk นั้นหากกล่าวให้เห็นภาพคงเรียกได้ว่าเป็นคลื่นสวน (correction wave) ที่มาช่วยพยุงให้มีนักลงทุนหน้าใหม่พุ่งเข้ามาในตลาดมากขึ้น ราคาเหรียญจึงไม่ได้ปรับตัวลงในทันทีเมื่อใกล้เข้าสู่ช่วงขาลงเท่านั้น จะสังเกตได้ว่าในหลายๆครั้งที่ Elon Musk พยายามทวีตข้อความเกี่ยวกับเหรียญ Dogecoin แต่ราคาไม่พุ่งขึ้นตามไปเสียทุกครั้ง นี่เป็นบทสรุปที่ช่วยชี้ว่า Elon Musk ไม่ใช่ตัวแปรหลักของราคาเหรียญ Bitcoin หากจะกล่าวให้ถูกต้องจริง ๆ ต้องเน้นไปที่กรณีการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลของบริษัท Tesla (ซึ่งก็ยังไม่มีรายงานหรือหลักฐานใดๆว่า Tesla นั้นได้ขายเหรียญ Bitcoin ออกไปแล้วจริงๆตามทวีตข้อความของ Elon Musk)
——————————————————–