ถ้านับเฉพาะที่รู้ความแล้ว ประสบการณ์แรกที่ชีวิตต้องเกี่ยวข้องกับวัคซีนเกิดขึ้นในช่วงวัยประถมต้น ในครั้งนั้นคุณครูกะเกณฑ์ให้ผมและเพื่อนเข้าแถวเรียงกันเตรียมตัวเข้าไปแหงนคอให้เจ้าหน้าที่หยอดวัคซีนเข้าปาก วัคซีนโรคโปลิโอชนิดหยอดไม่มีเข็มฉีดยาที่เป็นศัตรูอันดับต้นของเด็กเข้ามาเกี่ยวข้อง ประสบการณ์การเข้าแถวรับวัคซีนครั้งแรกจึงเป็นบรรยากาศของความสนุก โดยเฉพาะเมื่อเจ้าหน้าที่มีของรางวัลปิดท้ายเป็นน้ำแดงหวาน ๆ ให้เด็กทุกคน
เนิ่นนานที่ความหมายของวัคซีนจำกัดอยู่ที่ระดับของความหมายพื้นฐานที่เป็นแก่นแท้ของวัคซีน สังคมรู้จักวัคซีนในแง่ของคุณประโยชน์ที่เป็นเครื่องมือปกปักชีวิตมนุษย์ด้วยการสร้างภูมิคุ้มกันโรค จนกระทั่งถึงยุคสมัยของโรค COVID-19 ที่สังคมเริ่มประกอบสร้างความหมายของวัคซีนซ้อนทับขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง
วัคซีนโรค COVID-19 ไม่ได้มีความหมายเป็นเพียงเครื่องมือเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรค COVID-19 อีกต่อไป ด้วยความที่ปรากฏการณ์โรค COVID-19 ไม่ได้กระทบชีวิตมนุษย์แต่ในแง่มุมด้านสาธารณสุข มันสั่นสะเทือนชีวิตมนุษย์ในหลากหลายมิติ ทัศนคติของมนุษย์ต่อโรค COVID-19 จึงประกอบขึ้นด้วยแง่มุมมากมาย แล้วแต่ว่าจะประกอบสร้างความคิดความเชื่อขึ้นมาผ่านกรอบแว่นใดบ้าง สาธารณสุข เศรษฐกิจ เทคโนโลยี จิตวิทยา ศาสนา และอีกนานาสารพัด รวมทั้ง “ทัศนคติทางการเมือง”
ความคิดความเชื่อทางการเมืองต่อโรค COVID-19 และวัคซีนโรค COVID-19 ของคนในสังคม ทำให้วัคซีนมีความหมายซ้อนขึ้นมาอีกระดับชั้นที่ซ้อนทับขึ้นไปและเลื่อนไหลออกไปจากความหมายทางการแพทย์ในนัยของการรักษาชีวิตมนุษย์ ความหมายทางการเมืองของวัคซีนโรค COVID-19 ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาจากการสั่งสมทัศนคติทางการเมือง (ในความหมายที่กว้างครอบคลุมตั้งแต่ระดับอุดมการณ์ทางการเมือง ไล่เรื่อยลงไปถึงระดับการไม่ชอบขี้หน้านักการเมืองแต่ละคนในฐานะปัจเจก) เข้าไปยึดครองความหมายดั้งเดิม จนทำให้คำว่า “วัคซีนโรค COVID-19” ที่รัฐจัดสรร ถูกให้ภาพใหม่ที่สื่อความหมายถึงอำนาจรัฐ การเข้ารับ (หรือไม่เข้ารับ) วัคซีนโรค COVID-19 ก็เลยมีความหมายทางการเมืองตามไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น “การเป็นเครื่องมือของอำนาจรัฐ” “การสยบยอมต่ออำนาจรัฐ “”การแสดงความไม่พอใจต่อกลไกรัฐ” และ “การต่อต้านอำนาจรัฐ”
การไล่เสียบประจานดาราที่เข้ารับวัคซีนที่รัฐจัดหา หรือการด่าทอยูทูบเบอร์ที่ปฏิเสธวัคซีนของรัฐและบินไปรับวัคซีนที่สหรัฐฯ คือปรากฏการณ์ที่เป็นผลสืบเนื่องจากความหมายระดับมายาคติของวัคซีนโรค COVID-19 ซึ่งจะว่าไปก็เป็นลักษณะเฉพาะของมนุษย์ ที่ทำให้สังคมมนุษย์ซับซ้อนและวิวัฒนาการก้าวหน้ามากกว่าสัตว์ สัตว์รับรู้ด้วยประสาทสัมผัสแล้วให้ความหมายได้แค่เพียงความหมายพื้นฐานอย่างร้อน เย็น อิ่ม หิว ฯลฯ แต่มนุษย์มีความสามารถในการให้ความหมายเพิ่มเติมกับสรรพสิ่ง หลังจากรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสแล้วยังสามารถใช้ความคิดความเชื่อที่สั่งสมกันในสังคมสร้างความหมายใหม่ขึ้นมาได้อีกระดับหนึ่ง
ปัญหาก็คือ เมื่อมายาคติทางการเมืองว่าด้วยวัคซีนโรค COVID-19 ครอบครองพื้นที่กระแสหลักในสังคม มันไปปิดทับความหมายเดิมให้โดนหลงลืมไป ในสภาวะที่ภัยคุกคามซึ่งหน้าคือการที่ไวรัสคุกคามชีวิตมนุษย์ทั้งในมิติสุขภาพและเศรษฐกิจ การพิจารณาคุณค่าของวัคซีนด้วยความหมายพื้นฐาน (คือเครื่องมือสำหรับรักษาชีวิตมนุษย์) ควรจะมีพื้นที่ในสังคมมากกว่านี้หรือเปล่า? การแลกเปลี่ยนถกเถียงด้วยผลการทดลองทางการแพทย์ควรมีพื้นที่เพิ่มขึ้นหรือไม่? ทั้งนี้แม้มายาคติทางการเมืองมีความชอบธรรมในการดำรงอยู่เพื่อ “ชีวิตทางสังคมรร่วมกัน” แต่ไม่ควรครอบงำจนปราศจากพื้นที่สำหรับการถกเถียงด้วยข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์เพื่อดำรง “ชีวิตมนุษย์” ในสังคม
———————————————–