บริษัทด้านสินเชื่อของฝรั่งเศส Euler Hermes เปิดเผยรายงานเมื่อต้นเดือนตุลาคม 2564 ว่า อัตราการล้มละลายของธุรกิจทั่วโลก อาจเพิ่มสูงขึ้นถึง 15% ในปี 2565 จากสองเหตุผลหลัก คือ รัฐบาลต่างๆ ทั่วโลก กำลังเตรียมที่จะยกเลิกมาตรการสนับสนุนและช่วยเหลือทางเศรษฐกิจเพื่อให้บริษัทต่างๆ สามารถอยู่รอดได้ หลังจากได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
แนวโน้มความเสี่ยงล้มละลายดังกล่าวยังรวมไปถึงการที่ธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกกำลังเตรียมขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพราะเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวแล้ว หรือบางส่วน โดนกดดันจากภาวะเงินเฟ้อสูง ซึ่งจะยิ่งทำให้ภาระหนี้สินของบริษัทต่างๆ ยิ่งสูงขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยที่ประสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม รายงานดังกล่าวประเมินว่า แม้ว่าการล้มละลายจะเพิ่มขึ้นจากที่คาดการณ์ไว้ครั้งก่อนหน้า แต่การล้มละลายของธุรกิจทั่วโลกโดยรวมจะยังคงต่ำกว่าเมื่อปี 2562 ก่อนที่ COVID-19 จะระบาดประมาณ 4%
ทั้งนี้ แนวโน้มการล้มละลายของธุรกิจแบ่งเป็นภูมิภาคต่างๆ ดังนี้
เอเชีย คาดว่าจะมีการล้มละลายเพิ่มขึ้น 18% สูงกว่าอัตราเฉลี่ยทั่วโลก โดยเฉพาะในอินเดีย ที่อาจมีอัตราธุรกิจเสี่ยงล้มละลายเพิ่มขึ้นสูงถึง 69%
สหรัฐฯ คาดว่า เศรษฐกิจยังคงฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ทำให้อัตราการล้มละลายจะยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ
ยุโรป คาดว่า สถานการณ์ในประเทศต่างๆ อาจต่างกันไป โดยสเปนและอิตาลี อาจเกิดการล้มละลายเพิ่มขึ้นสูงกว่าระดับก่อน COVID-19 ระบาดได้ภายในปี 2564 หรือปี 2565 ซึ่งย่ำแย่กว่าระดับเฉลี่ยของโลก แต่สวิตเซอร์แลนด์ สวีเดน และโปรตุเกส อาจเกิดการล้มละลายของธุรกิจเพิ่มขึ้น แต่จะยังไม่กลับไปถึงระดับก่อน COVID-19 ระบาดภายในปี 2565
แอฟริกา คาดว่า จะรุนแรง โดยจะมีบริษัทจำนวนมากที่จะกลับไปล้มละลายเกินระดับก่อน COVID-19 ระบาดภายในปี 2564
ผลการศึกษาดังกล่าว อาจทำให้รัฐบาลทั่วโลก ต้องทบทวนการถอนมาตรการทางเศรษฐกิจและการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยอาจมีการเลื่อนการถอนมาตรการทางเศรษฐกกิจและการขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไป เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อภาคธุรกิจและแรงงานจำนวนมากในภาคธุรกิจทั่วโลก ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลกที่ยังไม่ฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่จากผลกระทบของ COVID-19 ที่อาจส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจโลก “ซึมยาว” กว่าที่คาดไว้
—————————————-