ความสำเร็จอย่างหนึ่งของสหรัฐฯ ที่ทำให้ก้าวขึ้นเป็นเจ้าโลก (World Hegemony) ได้ และยังไม่มีแนวโน้มที่คู่แข่งในยุคนี้อย่างจีนจะทำได้เสมอเหมือน คือการครอบครองความคิดจิตใจของประชาชนโลกให้ยอมรับระบบความคิดความเชื่อของสหรัฐฯ เสมือนหนึ่งว่าระบบความคิดนั้นคือ “ความจริงแท้” ที่ดำรงอยู่ตั้งแต่ก่อกำเนิดจักรวาลและจะคงอยู่ตลอดไป
อำนาจในการครอบครองความคิดจิตใจ ทรงพลังยิ่งกว่าอำนาจทางทหารและเศรษฐกิจ (ที่สหรัฐฯ ก็ยังคงเป็นอันดับ 1 ของโลกเช่นกัน) เพราะเป็นอำนาจที่ไม่จำเป็นต้องไปเสียเวลากดขี่บังคับให้ผู้ใต้อำนาจต้องกระทำพฤติกรรมตามที่ผู้มีอำนาจต้องการ แต่เป็นอำนาจระดับซึมลึกที่ผู้ใต้อำนาจกระทำตามแนวทางที่ผู้มีอำนาจต้องการด้วยตนเองด้วยความยินดี เพราะเชื่อว่าสิ่งนั้นคือเรื่องปกติ หรือยิ่งกว่านั้นคือเป็นความถูกต้องดีงามที่ควรกระทำ
หากวิเคราะห์ความสำเร็จของสหรัฐฯ ในการสถาปนาตนขึ้นเป็นมหาอำนาจขั้วเดียวหลังสงครามเย็น ก็พอจะพูดได้อย่างไม่เกินเลยนักว่า “ฮอลลีวู้ด” หรืออุตสาหกรรมภาพยนตร์ของสหรัฐฯ คือ “อาวุธ” ที่สหรัฐฯ ใช้เอาชนะศึก และเป็นอาวุธที่ทรงพลังในลักษณะเดียวกับที่สหรัฐฯ ใช้อาวุธนิวเคลียร์เผด็จศึกศัตรูในสงครามโลกครั้งที่ 2 หรืออาจทรงพลังยิ่งกว่าเสียอีก เพราะในขณะที่ผลกระทบจากอาวุธนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิมาและนางาซากิจางหายเกือบหมดแล้ว แต่อานุภาพของฮอลลีวู้ดยังคงทิ้งร่องรอยไว้ในความคิดจิตใจประชาชนทั่วทั้งโลก และส่งต่อรุ่นสู่รุ่นมาถึงปัจจุบัน
บทบาทฮอลลีวู้ดต่อความสำเร็จทางการเมืองระหว่างประเทศของสหรัฐฯ เกิดขึ้นจากการวางแผนที่ดีของฝ่ายความมั่นคงสหรัฐฯ ที่เล็งเห็นถึงอานุภาพของภาพยนตร์ในการครอบครองความคิด รศ. Tanner Mirrlees แห่งมหาวิทยาลัย Ontario Tech University บอกว่าสหรัฐฯ เริ่มใช้ฮอลลีวู้ดเป็นเครื่องมือช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยใช้เป็นช่องทางแทรกข้อความเพื่อโฆษณาชวนเชื่อ (propaganda) ให้ประชาชนสนับสนุนการเข้าร่วมสงครามของสหรัฐฯ ด้วยการตั้ง Bureau of Motion Pictures ขึ้นมารับผิดชอบภารกิจนี้โดยตรง ขณะที่งานวิจัย “The Historical Roots of CIA-Hollywood Propaganda” ของคุณ Pearse Redmond ระบุว่าสำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (Central Intelligence Agency-CIA) มีบทบาทอย่างลับ ๆ ในการสร้างและเผยแพร่ภาพยนตร์ที่ส่งเสริมอุดมการณ์แบบสหรัฐฯ และสร้างภาพ “คอมมิวนิสต์” ให้เป็นภัยคุกคามร่วมกันของมนุษยชาติในห้วงของสงครามเย็น
แต่ภาพมุมกลับของปฏิบัติการ propaganda ดังกล่าว ปรากฏให้เห็นใน “The Suicide Squad” ภาพยนตร์ anti-hero ประจำปี 2564 ภายใต้ฉากหน้าของการเป็นภาพยนตร์แอคชันเบาสมองที่สร้างจากหนังสือการ์ตูน เนื้อในกลับแทรกสารของการวิจารณ์ (เลยไปถึงขั้นด่า) บทบาทของรัฐบาลสหรัฐฯ เกี่ยวกับการแทรกแซงการเมืองภายในของประเทศกำลังพัฒนา ภายใต้ข้ออ้างเรื่องการรักษาสันติภาพและประชาธิปไตย ซึ่งเป็นใจความทางการเมืองหลักของหนังที่ราวกับจับเอาถ้อยแถลงโฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนไปทำเป็นหนัง
“The Suicide Squad” ของผู้กำกับ James Gunn เจ้าของผลงานเดียวกับ “Guardians of the Galaxy” ที่คราวนี้ย้ายข้ามจักรวาลจาก Marvel Cinematic Universe มาอยู่ฝั่ง DC Extended Universe บอกเล่าเรื่องราวของเหล่านักโทษพลังเหนือมนุษย์ ที่ทางการสหรัฐฯ บังคับให้รวมตัวเป็น “Task Force X” ไปปฏิบัติภารกิจใน “Corto Maltese” ประเทศสมมติในอเมริกาใต้ ที่เพิ่งมีการรัฐประหารโดยผู้นำเผด็จการคนใหม่ที่มีนโยบายต่อต้านสหรัฐฯ และมี “Starro” ซึ่งเป็นมนุษย์ต่างดาวหน้าคล้ายดาวทะเลที่ถูกดัดแปลงเป็นอาวุธระดับทำลายล้างโลกได้อยู่ในการครอบครอง
“The Suicide Squad” ด่ารัฐบาลสหรัฐฯ โดยเฉพาะหน่วยข่าวกรอง ที่ใช้วิธีโหดร้ายป่าเถื่อนในการบังคับนักโทษให้ปฏิบัติภารกิจโดยอ้างเหตุผลเรื่อง “ความมั่นคง” แต่เหตุการณ์ในหนังค่อย ๆ ปรากฏความจริงให้เห็นว่าเป็นภารกิจเพื่อรักษาสถานะความเป็นมหาอำนาจของสหรัฐฯ มุ่งเป้าโค่นล้มประธานาธิบดีเผด็จการคนใหม่ที่มีนโยบายต่อต้านสหรัฐฯ (ทั้งที่สหรัฐฯ ไม่เคยคิดจะโค่นล้มประธานาธิบดีเผด็จการสุดโหดร้ายคนเดิม ที่มีนโยบายเป็นมิตรกับสหรัฐฯ) ขณะที่อาวุธร้ายแรง “Starro” ที่ว่า ก็พัฒนาโดยสหรัฐฯ เองที่ไปอาศัยประเทศ Corto Maltese เป็นพื้นที่วิจัยในยุคประธานาธิบดีเผด็จการคนเก่า
หากเหตุการณ์ในหนังเกิดขึ้นจริงในยุคสมัยนี้ (หรือพูดอีกอย่างคือ หากเอาเหตุการณ์ในหนังไปเทียบเคียงกับเหตุการณ์จริงในอัฟกานิสถาน อิรัก ลิเบีย ฯลฯ) บทบาทของสหรัฐฯ จะถูกฝ่ายตรงข้ามวิจารณ์ทันทีด้วยถ้อยคำอย่าง “จักรวรรดินิยม” “แทรกแซงกิจการภายใน” ฯลฯ โดยเฉพาะเมื่อหน่วยข่าวสหรัฐฯ (ที่เป็นตัวร้ายในหนัง) เผยให้เห็นเจตนารมณ์ว่าไม่ได้ใส่ใจชีวิตของประชาชนชาว Corto Maltese ไม่แยแสชีวิตของนักรบฝ่ายกบฏที่สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา (ถึงขนาดจำชื่อมิลตันไม่ได้!) สหรัฐฯ ยังต้องการบ่อนทำลายให้สถานการณ์ใน Corto Maltese ไร้เสถียรภาพ รวมทั้งพยายามปิดบังความจริงเกี่ยวกับพฤติกรรมเลวร้ายของตน โดยอ้างเหตุผลเรื่องการรักษาสันติภาพและการต่อสู้กับเผด็จการ
แม้จะใช้ภาพยนตร์เป็นเครื่องมือทางการเมือง แต่สหรัฐฯ ไม่ใช่ประเทศเผด็จการที่ควบคุมภาคธุรกิจเอกชนได้เบ็ดเสร็จ “The Suicide Squad” คือหนังฮอลลีวู้ดที่ผลิตซ้ำและเผยแพร่สารของรัฐบาลต่างชาติที่ต่อต้านสหรัฐฯ ฟังดูเผิน ๆ คล้ายกับว่าภาพยนตร์ของบริษัทอเมริกันทำร้ายภาพลักษณ์ของสหรัฐฯ เอง บนสนามรบของการโฆษณาชวนเชื่อในยุคสมัยของความขัดแย้งสหรัฐฯ – จีน
แต่การที่สหรัฐฯ ชนะศึกด้านการเผยแพร่วัฒนธรรมร่วมสมัยที่ครองใจคนทั่วโลกมาโดยตลอด (ทั้งที่ก็มีหนังฮอลลีวู้ดที่ด่ารัฐบาลสหรัฐฯ มาโดยตลอดเช่นกัน) ยิ่งเมื่อเอาไปเปรียบเทียบกับฝ่ายจีนที่ยังเน้นสร้างหนังชาตินิยมเชิดชูจีน จนทำให้ยังไม่สามารถเจาะตลาดกลุ่มคนดูต่างชาติได้ ก็ชวนให้คิดเหมือนกันว่า การ propaganda แบบสหรัฐฯ (และเกาหลีใต้ที่กำลังมาแรง) ที่เปิดเสรีให้เอกชนมีอิสระในการนำเสนอ มีอวยตัวเองบ้าง ด่าตัวเองบ้าง ยังเป็นแนวทางที่แนบเนียน และชนะใจคนได้ดีกว่าการยัดเยียดแบบโฉ่งฉ่างผ่านกลไกของรัฐโดยตรง และเมื่อทำให้คนอื่นคล้อยตามได้ว่าสิ่งที่ด่าตัวเองนั้นคือ “ความจริง” ก็คงไม่ยากแล้วที่จะทำให้คนอื่นเชื่อในสิ่งที่อวยตัวเองว่าเป็น “ความจริง” เช่นกัน
———————————————————-
เรียบเรียงจาก
- https://onlinelibrary.wiley.com/doi/abs/10.1111/ajes.12177
- https://www.cbc.ca/radio/ideas/how-hollywood-became-the-unofficial-propaganda-arm-of-the-u-s-military-1.5560575