นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 เป็นต้นมาทั่วโลกต้องเผชิญกับสถานการณ์ราคาพลังงานที่ผันผวนอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะราคาน้ำมันที่มีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากจากความต้องการใช้น้ำมันดิบที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ของหลายประเทศกลับเข้าสู่ช่วงทรงตัวมากยิ่งขึ้น และหลายประเทศมีนโยบายเปิดประเทศ รวมถึงเลือกที่จะอยู่กับโควิด-19 ให้ได้
.
ลักษณะเช่นนี้ทำให้เศรษฐกิจหลายภาคส่วนเริ่มกลับมาทำงานได้ตามปกติ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ความต้องการใช้พลังงานกลับมาอยู่จุดใกล้เคียงกับก่อนสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 อย่างไรก็ตามกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันดิบกลับยังคงอัตราการผลิตไว้ในปริมาณเดิมในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้ความต้องการใช้อาจมีมากกว่าอัตราการผลิต
.
ปัจจัยทั้งสองนี้ส่งผลให้กลไกราคาน้ำมันดิบของโลกปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปไม่ว่าจะเป็นน้ำมันดีเซล หรือเบนซินมีราคาขายปลีกเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน กลายเป็นต้นทุนทางการผลิตและการขนส่ง
.
ปรากฏการณ์เช่นนี้ส่งผลให้ราคาน้ำมันดีดกลับไปอยู่ในระดับราคาใกล้เคียงกับก่อนเกิดโควิด-19 ในช่วงเวลาไม่กี่เดือนเท่านั้น แน่นอนว่าลักษณะเช่นนี้ไม่เป็นผลดีอย่างยิ่งต่อภาคธุรกิจที่ต้นทุนเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันในช่วงที่เศรษฐกิจกลับมาปกติมากขึ้น
.
อินเดียถือเป็นหนึ่งในประเทศที่เผชิญสถานการณ์ราคาน้ำมันแพงไม่แตกต่างจากประเทศอื่น ๆ เนื่องจากอินเดียพึ่งพิงการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศเป็นสำคัญ และน้ำมันดิบถือเป็นสินค้าสำคัญที่ส่งผลให้อินเดียขาดดุลทางการค้าระหว่างประเทศมาโดยตลอดเช่นเดียวกัน
.
แน่นอนว่าการปรับตัวของราคาน้ำมันส่งผลกระทบอย่างมากต่อภาคเศรษฐกิจของอินเดียโดยเฉพาะการปรับตัวของราคาน้ำมันเกิดขึ้นก่อนเทศกาลดิวาลี เทศกาลแห่งแสงไฟของศาสนาฮินดู ซิกข์ และเชน ที่คนอินเดียจะจับจ่ายใช้สอยซื้อหาสินค้าเพื่อมาเฉลิมฉลอง ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นย่อมส่งผลให้ราคาข้าวของแพงตามไปด้วย
.
รัฐบาลอินเดียจึงถูกวิจารณ์อย่างหนักจากประชาชน และโดยเฉพาะจากพรรคฝ่ายค้านที่พยายามชี้ว่าราคาน้ำมันในยุคนี้นั้นแพงกว่าในทุกยุคที่ผ่านมา แรงกดดันเหล่านี้ส่งผลให้ก่อนเทศกาลดิวาลีไม่กี่วัน รัฐบาลอินเดียตัดสินใจหั่นราคาน้ำมันลง 5-12 รูปีขึ้นกับชนิดของน้ำมัน
.
จึงเกิดคำถามขึ้นว่าราคาน้ำมันของอินเดียสามารถปรับลดลงได้อย่างไร และรัฐบาลอินเดียมองอย่างไรกับเรื่องการปรับลดราคาในครั้งนี้ คำตอบของเรื่องนี้อยู่ที่เรื่องภาษีสรรพสามิตของน้ำมันครับ เพราะในอินเดียมีการเก็บภาษีน้ำมันของรัฐบาลกลางอยู่ ซึ่งครั้งนี้รัฐบาลอินเดียตัดสินใจงดเว้นการจัดเก็บภาษีเป็นการชั่วคราวส่งผลให้ราคาน้ำมันลดลงในทันที
.
ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อตอบรับกับนโยบายนี้ของรัฐบาลกลาง หลายรัฐในอินเดียมีการงดเว้นการเก็บภาษีน้ำมันของตัวเองอีกด้วย ส่งผลให้บางรัฐราคาน้ำมันปรับลงหลายรูปีเมื่อเทียบกับรัฐอื่น ๆ (ในอินเดียภาษีน้ำมันถูกจัดเก็บจากทั้งรัฐบาลกลาง และรัฐบาลระดับรัฐ) การกระทำของรัฐที่อยู่ภายใต้การนำของพรรครัฐบาลบีเจพีส่งผลให้แรงกดดันสะท้อนกลับไปอยู่ที่บรรดารัฐต่าง ๆ ที่ปกครองโดยพรรคฝ่ายค้านแทน
.
เรียกได้ว่านโยบายหั่นราคาน้ำมันของพรรคบีเจพีในรอบนี้เป็นการยิงนกทีเดียวได้นกพร้อมกันถึง 3 ตัว นกตัวแรกคือลดเสียงวิจารณ์ของประชาชน นกตัวที่ 2 คือผลักแรงกดดันนั้นกลับไปที่บรรดาพรรคฝ่ายค้านให้ต้องกลืนเลือดหั่นภาษีน้ำมันระดับรัฐตามไปด้วย เพราะถ้าไม่ทำก็จะถูกประชาชนเปรียบเทียบและทำให้โอกาสในการชนะเลือกตั้งหันเหไปทางพรรคบีเจพีแทน
.
ส่วนนกตัวสุดท้ายคือการกระตุ้นเศรษฐกิจนั่นเอง เพราะรัฐบาลอินเดียมองว่าการยอมเสียภาษีในการจัดเก็บจากน้ำมัน แล้วช่วยให้ประชาชนออกมาจับจ่ายใช้สอยมากยิ่งขึ้น ในสภาพที่สินค้ามีต้นทุนถูกจะช่วยให้เศรษฐกิจอินเดียเดินต่อไปได้ และเงินเหล่านั้นก็หมุนเวียนกลับมาเป็นภาษีชดเชยเงินที่หายไปจากภาษีน้ำมันเอง
.
ฉะนั้นกล่าวได้ว่านโยบายหั่นราคาน้ำมันของอินเดียนั้นเป็นทั้งมาตรการทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจภายในนโยบายเดียว แต่ที่แน่ ๆ คือประชาชนอินเดียได้รับประโยชน์จากนโยบายนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
.
ผู้เขียน
ศุภวิชญ์ แก้วคูนอก
กำลังศึกษาปริญญาเอกที่คณะการจัดการ และทำงานเป็นนักวิจัยประจำสถาบันวิจัยแถบและเส้นทาง มหาวิทยาลัยเซี่ยเหมิน สนใจประเด็นการต่างประเทศ การเมือง และพลังงานในภูมิภาคเอเชียใต้และจีน