ถึง Ethereum จะเป็นคนละเหรียญ และถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่แตกต่างจาก Bitcoin ตามคุณสมบัติที่ต่างออกไป แต่สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึง คือ ตลาด Cryptocurrency ทั้งหมดนั้นยังมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์ (correlation) ทางด้านราคากับ Bitcoin สูงมาก เนื่องจากราคา Bitcoin มักถูกใช้เป็นดัชนีชี้วัดภาพรวมและอารมณ์ของตลาด Cryptocurrency ทำให้ราคาของเหรียญอื่นๆ อาทิ Ethereum และ Solana มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบตามทิศทางของราคา Bitcoin มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากที่ราคา Bitcoin ดิ่งลงอย่างรุนแรงเมื่อต้นธันวาคม 2564 ก็ได้ฉุดราคา Ethereum ลงจากบริเวณ $4,400 ไปยังบริเวณ $3,600 ก่อนจะมีแรงซื้อจากนักลงทุนในตลาดที่ตั้งคำสั่งซื้อรอไว้ ดันราคาให้กลับไปปิดแท่งเหนือโซนราคา $4,000 ได้จนถึงกลางเดือนก่อนจะร่วงลงมาเกาะบริเวณ $3,600 ซึ่งเป็นแนวรับสำคัญเพื่อทดสอบตลาดขาลงอีก 2-3 ครั้งในสิ้นปี 2564 และทะลุผ่านมาได้ในสัปดาห์แรกของปี 2565 ทำให้ Ethereum ถูกเทลงไปทดสอบแนวรับที่ $3,000 ซึ่งเคยเป็นแนวรับสำคัญที่อุ้มราคา Ethereum ไว้เมื่อช่วงสิงหาคม-กันยายน 2564
นอกจากโซน $3,000 จะเป็นแนวรับสำคัญในอดีตแล้ว หากใช้เครื่องมือประเมินอัตราส่วนทางตัวเลข Fibonacci จะพบว่าโซนดังกล่าวที่ $2,900-$3,000 นั้นอยู่ใกล้กับแนวรับ 61.8% Fibonacci ซึ่งนักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญว่ามีแนวโน้มจะเป็นจุดกลับตัวของราคาสินทรัพย์แต่ละประเภทอย่างมาก หาก Ethereum ไม่ถูกเทขายจนหลุดลงไปต่ำกว่า $2,900 ก็มีแนวโน้มที่จะทำให้นักลงทุนในตลาดเชื่อว่าแนวรับดังกล่าวมีความเป็นไปได้ที่จะรับราคา Ethereum ได้ไหว แล้วเข้ามาช้อนซื้อ Ethereum ที่ราคาดังกล่าว จนสามารถดันให้ราคาสามารถกลับไปทดสอบแนวต้านกรอบทะแยงบริเวณ $3,500-$3,600 ก่อนช่วงปลายเดือนมกราคม 2565 ได้ หรือในกรณีที่เลวร้าย ราคา Ethereum ถูกกระหน่ำเทขายจนร่วงหลุดจากโซน $3,000 ก็ยังมีแนวรับสุดท้ายก่อนเข้าสู่ตลาดขาลงอย่างโซนราคาที่ $2,700 อยู่ เพราะโซนนี้เคยเป็นจุดกลับตัวให้ Ethereum หลังจังหวะกราฟพักตัว (continuation phase) ไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อตุลาคม 2564 ทั้งนี้ทั้งนั้น เงื่อนไขการกลับตัวของ Ethereum จะเปลี่ยนทันทีเมื่อราคาหลุดลงไปจากโซน $2,700 เนื่องจากแนวรับถัดไปจะอยู่ห่างออกไปกว่า 400 จุด หรือก็คือ โซน 78.6% Fibonacci ที่ $2,300-$2,400
ซึ่งโอกาสที่จะหลุดไปบริเวณดังกล่าวยังถือว่ามีน้อย เนื่องจากปัจจุบัน Ethereum เป็นเหรียญที่ถูกนำไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมดิจิทัลอย่างหนาแน่น ไม่ว่าจะในระบบธนาคารไร้ตัวกลาง (DeFi Banking) และการสร้างระบบนิเวศของ Cryptocurrency รูปแบบต่างๆ ทำให้อุปสงค์ในเหรียญ Ethereum มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้จากดัชนี ETH Dominance ที่เป็นเครื่องมือชี้วัดปริมาณเงินทุนไหลออกจาก Bitcoin เข้าสู่ Ethereum และบ่งชี้ปริมาณส่วนแบ่งทางการตลาดในภาพรวมที่ Ethereum มีอยู่ โดยคิดรวมกับเหรียญ Cryptocurrency ทั้งหมด นั้นมีการเคลื่อนไหวในลักษณะที่สร้างจุดสูงสุดใหม่ (All-Time High) ถึง 3 ครั้ง ในปี 2564 คือ ช่วงกุมภาพันธ์ ช่วงพฤษภาคม และธันวาคม โดยปัจจุบันกำลังเป็นช่วงพักตัว แต่ยังไม่หลุดแนวรับสำคัญที่บริเวณ 19% แปลว่าในปัจจุบันตลาด Cryptocurrency ที่มีเหรียญ Cryptocurrency แตกต่างกันทั้งหมดกว่า 6,000 ชนิดนั้น Ethereum มีส่วนแบ่งทางการตลาดทั้งหมดเกือบ 20% เป็นรองเพียง Bitcoin ที่มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่กว่า 40%
สุดท้ายนี้หากย้อนกลับมาดูที่เครื่องมือวัดความหนาแน่นของแรงซื้อ-แรงขาย เช่น Relative Strength Index (RSI) ก็จะเห็นว่าปัจจุบันแรงเทขายเหรียญ Ethereum กำลังอยู่ในจุดที่รุนแรงสุดในรอบ 1 ปี โดยค่า RSI กำลังลงไปทดสอบแนว 30-35 แต่ราคาของ Ethereum กลับไม่ได้ทิ้งดิ่งอย่างรุนแรงเมื่อเทียบกับ Bitcoin หากราคา Ethereum ยังไม่ได้หลุดโซน $3,000 หรือแม้แต่ $2,700 ก็จะเกิดเงื่อนไข Hidden bullish divergence ซึ่งเป็นสัญญาณการกลับตัวรูปแบบหนึ่ง คล้ายกับสัญญาณที่กำลังเกิดขึ้นในราคา Bitcoin และดึงราคา Ethereum ให้ปรับตัวขึ้นจากแนวรับไปได้ ส่วนจะเป็นการปรับราคาขึ้นเพื่อที่จะลงต่อหรือไม่นั้น ระยะนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ เพราะยังต้องรอให้กราฟราคาพยายามดันตัวเองให้วิ่งกลับไปทดสอบแนวต้านระยะสั้นเดิมที่ทะลุลงมาก่อน หากไม่สามารถผ่านแนวต้านข้างต้นได้ จึงจะมองเป็นการขึ้นเพื่อลงต่อ
***บทความนี้เป็นบทความสรุปความเคลื่อนไหวของตลาดสกุลเงินดิจิทัล ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุน
The Intelligence มีข้อพิจารณาว่าการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้าน ก่อนตัดสินใจลงทุน***