1 ใน 4 สินทรัพย์ประเภทโลหะมีค่า (precious metals) ที่ได้รับอานิสงค์การเป็นตลาดขาขึ้นจากความต้องการทองคำในสภาวะเงินเฟ้อพุ่งสูง คือ แร่ Palladium (XPDUSD) ทำให้การเคลื่อนที่ของกราฟราคา Palladium พลิกกลับตัวออกจากขาลงระยะสั้นทันทีที่ลงมาแตะแนวรับเส้นสีแดงบริเวณ $1,554.14 เมื่อช่วงปลายปี 2564 โดยปัจจุบันเทรดกันอยู่ที่ราคาบริเวณ $2,700-$2,800 ตามแนวเส้นสีม่วง (ในภาพที่ 1) หลังจากขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ในประวัติศาสตร์ (All-Time High) ที่บริเวณ $3,400 แต่ถูกนักลงทุนบางกลุ่มที่เชื่อในอัตราส่วน 141.4% และ 161.8% Fibonacci เทขายเพื่อทำกำไร ทำให้กราฟราคา Palladium ย่อลงมาที่บริเวณแนวรับเส้นสีม่วง $2,841.48 และมีการปฏิเสธราคาเกิดขึ้นจนราคาเด้งกลับเล็กน้อย (rejection at support zone) ภาพรวมในขณะนี้จึงเป็นช่วงที่นักลงทุนในตลาดคาดหวังว่าแนวเส้นสีม่วงที่ Palladium ทะลุขึ้นมาในช่วงก่อนหน้านี้ จะพลิกกลับเป็นแนวรับที่มีความแข็งแรงมากพอจะรับราคาไม่ให้หลุดลงไปต่ำกว่านี้ได้หรือไม่ เพราะหากไม่สามารถรับได้ กราฟราคาอาจย่อลงมาที่แนวรับเส้นสีส้มบริเวณ $2,185.78 ได้
ในทางเทคนิคัล ตัวแท่งเทียนในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีการปิดแท่งแบบทิ้งไส้ทั้งด้านบนและด้านล่าง สะท้อนถึงการต่อสู้กันระหว่างแรงขายที่แนวต้าน และแรงช้อนซื้อที่แนวรับ หากในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของมีนาคมนี้แรงซื้อสามารถเอาชนะแรงขายที่แนวรับเส้นสีม่วงนี้ก็มีแนวโน้มที่ราคา Palladium จะกลับไปทดสอบแนวต้านเดิมที่ $3,400 และมุ่งไปสู่ราคา $3,500 และ $3,900 ต่อไป แต่หากแรงขายมีมากจนแรงซื้อไม่สามารถสู้ได้ ราคาอาจหลุดแนวรับเส้นสีม่วงลงไปยังแนวรับเส้นสีเขียวบริเวณ $2,470.46 แล้วทยอยปรับตัวขึ้นในช่วงปลายเดือนมีนาคม ในเบื้องต้นยังไม่ปรากฏสัญญาณการกลับตัวจากตลาดขาขึ้นไปสู่ตลาดขาลง เนื่องจากกราฟยังไม่ได้เสียรูปทรงขาขึ้น ยังไม่ได้หลุดแนวรับเส้นสีส้มบริเวณ $2,185.78 (new low) และยังไม่ได้กลับไปทดสอบแนว $3,400 จึงยังคาดการณ์ว่าตลาดขาขึ้นจะยังคงดำเนินต่อไปสำหรับ Palladium อยู่ แต่ไม่ใช่จุดเข้าซื้อที่ดี สำหรับผู้ที่ลงทุนระยะยาว ส่วนผู้ที่ต้องการเก็งกำไรระยะสั้น อาจต้องรอให้มีความชัดเจนในสัปดาห์ที่ 3 ว่าแนวรับเส้นสีม่วงจะสามารถรับไม่ให้ราคาร่วงลงไปกว่าโซนดังกล่าวไหวหรือไม่
สำหรับมุมมองจากเครื่องมือประเมินแรงซื้อ-แรงขาย (RSI) ปัจจุบันสามารถผ่านแนวต้านเส้นสีดำ (ตามภาพที่ 2) ซึ่งเป็นแนวต้านหลักของปี 2564 ขึ้นมาได้แล้ว หลังจากมีการทะลุขึ้นมา แต่ไม่สามารถยืนเหนือเส้นได้ (fake-out) เมื่อช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมา โดยยังสามารถเคลื่อนที่เหนือเส้นค่า RSI 50 ได้ตลอดช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 25652 แม้ปัจจุบันจะอยู่ในระยะการย่อลงมา เพราะไม่สามารถผ่านแนวต้านเส้นสีส้มบริเวณค่า RSI 80 ได้ จนค่าเฉลี่ยจากกราฟ RSI ไม่สัมพันธ์กับรูปแบบของกราฟแท่งเทียนราคาแล้วเกิดสัญญาณการเปลี่ยนทิศทางตลาด (bearish divergence) แต่ยังไม่ถือว่าสูญเสียโมเมนตัมตลาดขาขึ้น เนื่องจากกราฟแสดงค่า RSI ยังไม่ได้หลุดจากเส้นสีเขียวที่ค่า 50 อีกทั้งการที่จะสรุปเรื่องทิศทางตลาดเปลี่ยนได้นั้น กราฟค่า RSI จะต้องดีดกลับขึ้นมาอีกครั้งก่อน เพื่อทดสอบแรงซื้อในตลาด โดยหากมีแรงซื้อเข้ามามากก็อาจจะพาให้กราฟ RSI ทะลุผ่านขึ้นไปอยู่เหนือค่า RSI 80 หรือแนวต้านเส้นสีส้มจนสามารถลบล้างรูปแบบความไม่สัมพันธ์ที่เกิดขึ้นบนกราฟทั้ง 2 ชุดลงได้ (neutralized bearish divergence) ซึ่งความชัดเจนของประเด็นนี้จะปรากฏให้เห็นในช่วงสัปดาห์แรกของไตรมาสที่ 2
***บทความนี้เป็นบทความสรุปความเคลื่อนไหวของตลาดเงินและตลาดทุนฯลฯ ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุน The Intelligence มีข้อพิจารณาว่าการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้าน ก่อนตัดสินใจลงทุน***