สวีเดน ประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวียที่ได้รับการโหวตให้เป็นประเทศที่มีความสุขมากที่สุดในโลกอันดับที่ 7 ในปี 2565 กำลังจะได้เป็นประธานหมุนเวียนของสหภาพยุโรป(European Union – EU) เป็นระยะเวลา 6 เดือน เริ่มตั้งแต่ มกราคม 2566 เป็นต้นไป ถัดจากสาธารณรัฐเชค ซึ่งตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่สวีเดนได้มาด้วยการหมุนเวียนไปตามประเทศสมาชิก และหน้าที่นี้จะทำให้สวีเดนต้องเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมต่าง ๆ กำหนดวาระการประชุม และอำนวยความสะดวกการเจรจา พูดคุยระหว่างประเทศสมาชิก ซึ่งสวีเดนเคยได้เป็นประธานหมุนเวียน EU แล้วเมื่อปี 2544 และปี 2552
แต่การที่สวีเดนได้บทบาทการเป็นประธานหมุนเวียนของ EU ในครั้งนี้ มีสิ่งที่น่าติดตามแตกต่างจากครั้งอื่น ๆ เพราะครั้งนี้ สวีเดนรับบทประธานในช่วงที่สถานการณ์ความมั่นคงในยุโรปมีความตึงเครียดและขัดแย้งหลายประเด็น และสวีเดนก็ได้ประกาศชัดเจนว่าจะให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกกับเรื่องที่เกี่ยวกับ “ยูเครน” โดยในฐานะประธานหมุนเวียนของสหภาพยุโรป สวีเดนจะสนับสนุนการเพิ่มความช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงแก่ยูเครน รวมทั้งสนับสนุนกระบวนการที่ยูเครนต้องการเป็นสมาชิก EU ด้วย
นายกรัฐมนตรี Ulf Kristersson ของสวีเดนชี้แจงกับคณะรัฐสภาของเขาว่า “สหภาพยุโรปคือสัญลักษณ์ของสันติภาพและเสรีภาพ ซึ่งจะไม่สามารถดำรงอยู่ได้หากยังมีสถานการณ์สงครามอยู่อย่างในปัจจุบัน”…เรียกได้ว่า ท่าทีของสวีเดนนั้นชัดเจนว่าต้องการช่วยเหลือยูเครน และนี้อาจเป็นบทพิสูจน์ความจริงจังและจริงใจของสวีเดนในการช่วยเหลือยูเครนจากสถานการณ์ในปัจจุบันที่ยังไม่มีท่าทีว่าจะจบสิ้น และอาจเป็นการส่งสัญญาณท้าทายคู่ขัดแย้งของยูเครนอย่างรัสเซียให้เห็นว่า บทบาทของ EU ยังเข้มแข็งและไม่ได้ยอมแพ้ให้กับรัสเซีย
สวีเดนกำหนด 4 ประเด็นเป็น priority ในครึ่งปีแรกของปี 2566 ได้แก่ ทำให้ความมั่นคงสหภาพยุโรปมีเอกภาพ เสริมความสามารถในการแข่งขัน สนับสนุนการใช้พลังงานรูปแบบใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมค่านิยมประชาธิปไตย
เป้าหมายอื่น ๆ ของสวีเดน คือ การสร้างความสามารถในการฟื้นตัวจากสภาวะวิกฤต (resilience) แก้ไขปัญหาเรื่องการให้วีซ่า Schengen แก่บัลแกเรียและโรมาเนีย แก้ไขปัญหาผู้อพยพ แก้ไขอุปสรรคในความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและพลังงาน ตลอดจนเดินหน้ากระบวนการเพื่อให้สวีเดนเป็นสมาชิกเนโต แม้ว่าต้องฝ่าด่านตุรกีไปให้ได้ก็ตาม
ทั้งนี้ แม้ว่าการเป็นประธานหมุนเวียน EU จะทำให้สวีเดนมีบทบาทโดดเด่นขึ้นมา แต่ประชาชนชาวสวีเดนกังวลว่า นโยบายความมั่นคงและการทหารของสวีเดนจะแข็งกร้าวขึ้นหรือไม่?! เพราะที่ผ่านมา สวีเดนเป็นประเทศที่มีนโยบายด้านความมั่นคงแบบ non-alignment เน้นส่งเสริมสันติภาพ และเป็นสาย progressive ที่วางตัวเหนือความขัดแย้งและดราม่าระหว่างประเทศทั้งปวง แต่ไปเน้นเรื่องแก้ไขปัญหาความมั่นคงรูปแบบใหม่ เช่น โลกร้อน อากาศเปลี่ยนแปลง สิทธิสตรี และสิทธิผู้อพยพย้ายถิ่น รวมทั้งหลีกเลี่ยงการไปมีส่วนร่วมในความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ไม่ใช่ผลประโยชนโดยตรงของสวีเดนมาโดยตลอด
แต่อาจเป็นเพราะสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อ รวมทั้งกรณีท่อส่งก๊าซ Nord Stream รั่วไหลจากการก่อวินาศกรรม (ตามข้อมูลที่สวีเดนเชื่อ) และความเสี่ยงที่ EU จะขาดเอกภาพ เพราะสมาชิกทั้ง 27 ประเทศเผชิญความท้าทายด้านความมั่นคงอย่างเยอะ……จนอาจทำให้มีแนวทางรับมือแตกต่างกัน ประเด็นเหล่านี้อาจเป็นผลให้ นายกรัฐมนตรี Ulf Kristersson เปลี่ยนใจ เพราะเรื่องในยุโรปเริ่มส่งผลกระทบโดยตรงต่อสวีเดนมากขึ้น และมีการประเมินด้วยว่ารัสเซียเป็นภัยคุกคามที่สำคัญที่สุดของสวีเดน
โดยเมื่อ ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา สวีเดนแต่งตั้งตำแหน่งที่ปรึกษาด้านความมั่นคงเป็นครั้งแรก และมีการตั้ง Försvarsberedningen เป็นกลไกประชุมเรื่องความมั่นคงและการทหาร และเศรษฐกิจของสวีเดนโดยตรง ซึ่งจะมีการจัดทำรายงานในประเด็นต่าง ๆ อย่างน้อยไปจนถึงปี 2567 ตลอดจนมีการกำหนดนโยบายความมั่นคง 4 ประเด็นที่สำคัญ ได้แก่ 1) การทำให้สวีเดนได้เป็นสมาชิกเนโต 2) การทำให้นโยบายต่างประเทศเสริมสร้างผลประโยชน์ของสวีเดนและค่านิยมประชาธิปไตย 3) เพิ่มงบประมาณด้านการทหารอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกองทัพบก และ 4) เพิ่มการสนับสนุนยูเครน
อย่างไรก็ตาม สวีเดนมีเวลาแค่ครึ่งปีในการผลักดันเป้าหมายต่าง ๆ ขณะที่ความมั่นคงในยุโรปปัจจุบันนี้มีปัจจัยท้าทายและประเด็นที่ซับซ้อนมากขึ้น ดังนั้น อาจเป็นไปได้ที่สวีเดนจะเร่งเรื่องสมัครเข้าเป็นสมาชิกเนโตให้ได้เป็นอันดับแรก เพื่อให้ความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างสวีเดนกับเนโต รวมทั้งสหรัฐฯ เป็นหลักประกันป้องกันผลประโยชน์ของสวีเดนได้ในระยะยาว
———————————————————-