ขณะที่พายเรือในคลองเล็กๆ แม้จะเป็นเรือเล็กที่ไม่เเข็งแรงก็ยังรู้สึกปลอดภัย เพราะยังมองเห็นตลิ่งทั้งสองฝั่ง แต่เมื่อเรือลอยลำสู่มหาสมุทรที่มองไม่เห็นฝั่ง สิ่งที่ทำให้อุ่นใจ คือ เรือลำข้างเคียงที่คอยนำทางไปสู่จุดหมาย …อ่านดูแล้วได้ฟิลโรแมนติกแบบคู่รัก แต่ในอีกบางมุม..ความปลอดภัย,อบอุ่น… ก็ทำให้นึกถึง บทบาทของ “ที่ปรึกษา” ที่จะนำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญมาแนะนำผู้ประกอบการรายใหม่ที่กำลังจะพัฒนาธุรกิจให้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ ผู้ประกอบการจะสามารถหาที่ปรึกษาที่เหมาะสมกับธุรกิจ โดยเฉพาะงบประมาณในการจ้างที่ปรึกษานั้นมักเป็นการลงทุนที่มีมูลค่าสูง จึงกลายเป็นสิ่งที่ถูกละเลย และเอาเงินไปลงทุนกับต้นทุนทางด้านอื่นแทน ดังนั้น จึงเกิดแนวคิดที่ให้ที่ปรึกษา (Consult) เข้ามาร่วมกันพัฒนาธุรกิจรับค่าตอบแทนเป็นส่วนแบ่งจากกำไรที่ได้จากการขยายธุรกิจในรูปแบบของเปอร์เซ็นต์ตามที่มีการตกลงกันไว้
การคิดค่าตอบแทนจากผลแบ่งกำไร เป็นที่นิยมกันในการร่วมกันดำเนินกิจการระหว่างบริษัท ซึ่งมีส่วนผลักดันให้ผู้ร่วมลงทุนมีหน้าที่ดำเนินกิจการได้อย่างเต็มที่ เผชิญความเสี่ยงร่วมกัน จึงผลักดันให้เกิดการพัฒนาโครงการหรือธุรกิจให้เกิดความสำเร็จได้ ทั้งนี้ การ่วมลงทุนจะต้องเป็นการดำเนินกันระหว่างนิติบุคคลเท่านั้น และกรมสรรพากร ได้ส่งเสริมการร่วมลงทุนเพื่อร่วมค้า (joint venture) ด้วยมาตรการทางด้านภาษีที่ไม่รวมรายได้ของกิจกรรมที่เกิดจากการร่วมทุนเป็นรายได้ของบริษัท แตกต่างจากการค้าร่วม (Consortium) ที่เป็นการจ้างระบุขอบเขตของการทำงานที่ชัดเจน และได้ผลตอบแทนเป็นค่าจ้างตามที่ตกลงกันไว้
การลงทุนนี้ไม่ได้ครอบคลุมแค่เฉพาะการร่วมลงทุนเฉพาะเงินทุน แต่ยังรวมถึงการให้เทคโนโลยี ทรัพยากร แรงงาน หรือการให้สัมปทาน ตามที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ระหว่างหน่วยงานรัฐและเอกชน ในการร่วมกันแบบ PPP (Public Private Partnership) เนื่องจากภาครัฐมีข้อจำกัดในด้านของเงินทุน เทคโนโลยี หรือลักษณะของการดำเนินงาน ที่แตกต่างจากภาคเอกชน ดังนั้น “การร่วมมือกัน” ช่วยอุดช่องว่างในการบริหารจัดการโครงการให้ประสบผลสำเร็จมากขึ้น โดยเฉพาะโครงการด้านการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน การบริการให้กับประชาชนซึ่งเป็นหน้าที่หลักของภาครัฐ ที่ต้องอาศัยองค์ความรู้เฉพาะด้าน เทคโนโลยีขั้นสูง
ในทางกลับกัน ด้านเอกชนเองก็ขาดสิทธิ์หรืออำนาจทางด้านกฎหมายในการดำเนินโครงการที่ให้ทรัพยากร นอกจากนี้ การทำงานแบบเป็น partner กันยังลดความเสี่ยงในการดำเนินโครงการ โดยเฉพาะกับโครงการที่มีความท้าทาย ที่เอกชนสามารถรองรับความเสี่ยงได้มากกว่า และมีการดำเนินการเพื่อประโยชน์ทางด้านกำไรสูงสุด ต่างจากการดำเนินการบริการประชาชน โดยมีตัวชี้วัดเป็นความเป็นอยู่ของประชาชน โครงการที่ดำเนินการแบบ PPP จึงเป็นโครงการที่ถูกนำมาใช้กับโครงการขนาดใหญ่ของประเทศมาแล้วไม่ต่ำกว่า 110 โครงการ ในเวลา 7 ปี รวมเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1.12 ล้านล้านบาท
ไม่ใช่กับเฉพาะในวงการธุรกิจเท่านั้นที่เกิดการร่วมทุนและการจ่ายค่าตอบแทนเป็นผลกำไร แต่ในวงการบันเทิงระดับฮอลลีวูด ก็มีการจ่ายค่าตัวนักแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์รายได้ของภาพยนตร์เมื่อฉายไปแล้ว เพราะค่ายหนังไม่สามารถจ่ายค่าตัวนักแสดงที่แสนแพงได้ ดังเช่น Keanu Reeves สร้างรายได้กว่า 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากสัญญาแบบ back end deal ของหนังไตรภาคีเรื่อง Matrix ที่เป็นรายได้จากส่วนแบ่งกำไรของหนัง 10-15% เป็นค่าตัวในแต่ละภาค ซึ่งถือว่าเป็นรายได้ที่มากกว่าการทำรายได้ต่อเรื่องที่ 2.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อเรื่อง อาจดูเป็นความเสี่ยงที่ค่าตัวขึ้นอยู่กับรายได้ของหนัง แต่นั่นก็เป็นการการันตีความเป็นซุปเปอร์สตาร์ในการดึงดูดคนดูเพื่อสร้างรายได้ให้กับภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ
การรับค่าตอบแทนจากการแบ่งส่วนกำไร อาจทำให้ผู้ร่วมลงทุนตามสัญญาได้ค่าตอบแทนที่สูงกว่าปกติ จากความสามารถในการทำงานร่วมกันอย่างเต็มประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยังมีความเสี่ยงในการร่วมลงทุน หากโครงการที่ลงทุนไม่ประสบความสำเร็จหรือขาดทุนก็จะไม่ได้ค่าตอบแทนหรือมีส่วนรับผิดชอบในหนี้สินที่เกิดขึ้น การร่วมค้าจึงเปรียบเสมือนการลงทุนอีกประเภทหนึ่งที่มีการลงแรงแบบหุ้นส่วน และทุกการลงทุนก็ย่อมมีความเสี่ยงนั่นเอง