อุดมการณ์ตั้งต้นของกลุ่มผู้บุกเบิกคริปโตเคอร์เรนซีและบล็อกเชนคือการปกป้องความเป็นส่วนตัวของประชาชน และการปกป้องเสรีภาพทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ ลัทธิ Crypto-anarchism เชื่อว่าคริปโตเคอร์เรนซีเป็นเทคโนโลยีที่จะช่วยให้บรรลุวัตถุประสงค์นั้นได้ด้วยการทำลายการผูกขาดอำนาจทางการเงินของรัฐ แล้วกระจายอำนาจนั้นออกไปให้เป็นระบบการเงินแบบไม่รวมศูนย์ แนวคิดเช่นนี้อยู่บนพื้นฐานความคิดที่ว่ารัฐที่ผูกขาดอำนาจคือภัยอันตรายที่สุดต่อความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพของประชาชน
อุปสรรคที่ Crypto-anarchist ต้องเผชิญเป็นปัญหาทั่วไปที่นักอุดมคติหลีกเลี่ยงได้ยาก การแปลงเอาอุดมการณ์มาปฏิบัติจริงในรูปแบบของคริปโตเคอร์เรนซีอาจมองได้ว่าประสบความสำเร็จในด้านที่ Bitcoin เริ่มได้รับการยอมรับระดับหนึ่ง (ในสถานะที่แตกต่างกันออกไปแล้วแต่มุมมอง แต่ก็ถือว่ามีที่ยืนเป็นหลักแหล่งในสังคม) แต่ Bitcoin และคริปโตเคอร์เรนซีอื่น ๆ ก็แปดเปื้อนเมื่อการใช้งานขยายออกสู่หมู่คนวงกว้าง จนทิศทางหลักบิดเบี้ยวไปจากเดิมที่นักอุดมคติขีดเขียนไว้ ความจริงที่ต้องยอมรับคือสถานะที่ผู้ถือครองส่วนใหญ่ให้กับคริปโตเคอร์เรนซีที่ตัวเองเป็นเจ้าของนั้นคือ …มองมันเป็น “สินทรัพย์เพื่อการลงทุน” ที่มีศักยภาพจะสร้างความร่ำรวยให้กับตัวเองในอนาคต คงจะเหลือเพียงกลุ่มนักอุดมคติจำนวนไม่มากเท่านั้นที่ยืนหยัดกับอุดมการณ์ที่ว่าคริปโตเคอร์เรนซีคือ…เครื่องมือสำหรับการปลดแอกจากเผด็จการโดยรัฐ
หลักฐานเชิงประจักษ์สำหรับสนับสนุนข้อคิดเห็นข้างต้น คือการเติบโตอย่างมั่งคั่งยั่งยืนของแพล็ตฟอล์มซื้อขายแบบรวมศูนย์ (Centralize Exchange-CEX) ที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางไม่ต่างจากธนาคาร (ซึ่งลัทธิ Crypto-anarchism เกลียดมาก) หรือกระแสการเรียกร้องให้รัฐออกกฎระเบียบคุ้มครองนักลงทุนจากการฉ้อโกงที่เกิดขึ้นเรื่อย ๆ ก็สะท้อนถึงความเป็นจริงที่ว่าอย่างไรแล้วสังคมก็ให้คุณค่ากับความสะดวกสบายของการปกป้องคุ้มครองโดยอำนาจที่เหนือกว่า มากกว่ามุ่งเน้นการปกป้องตัวเองอย่างที่สำนักอนาธิปไตยพร่ำเพรียก รวมทั้งอีกตัวอย่างที่สุดขั้วยิ่งขึ้นคือกระแส ณ ปัจจุบันที่ผู้ถือครอง Bitcoin เร่งเร้าให้คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ อนุมัติกองทุนรวมดัชนี Bitcoin (Exchange Traded Fund-ETF) เพราะวาดฝันว่าจะช่วยดันราคา Bitcoin ให้พุ่งทะยานหลุดพ้นห้วงตลาดหมีโดยเร็ววัน ซึ่งพูดได้ว่าเป็นความคิดที่ยอมศิโรราบให้ Bitcoin อยู่ภายใต้อิทธิพลของบริษัทจัดการการลงทุนที่เป็นเจ้าของ ETF
ให้ห้วงที่แสงแห่งความหวังเริ่มจะเลือน บทบาทของคริปโตเคอร์เรนซีและบล็อกเชนในประเทศเพื่อนบ้านของไทยก็พอจะให้ความหวังกับนักอุดมคติได้ประโลมใจว่านวัตกรรมของพวกเขากำลังช่วยต่อสู้เพื่อเสรีภาพและความเป็นส่วนตัวของประชาชน ธนาคาร Spring Development Bank (SDB) ผ่านใต้การกำกับของกระทรวงการวางแผน การเงิน และการลงทุน ของรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (National Unity Government-NUG) ของเมียนมา (รัฐบาลพลเรือนที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารของกองทัพเมียนมา) ประกาศเริ่มดำเนินกิจการอย่างเต็มรูปแบบเมื่อ 10 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา หลังจากเริ่มทดลองดำเนินกิจการอย่างไม่เป็นทางการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2566
ความพิเศษของธนาคาร SDB คือเป็นธนาคารรูปแบบใหม่ที่ดำเนินการผ่านคริปโตเคอร์เรนซีและบล็อกเชนเป็นหลักผ่านเครือข่าย Polygon Network ที่รวดเร็วและราคาถูก ซึ่งก็เป็นเพราะข้อจำกัดของรัฐบาล NUG ที่ต้องหลบซ่อนระหว่างกำลังสู้รบกับกองทัพเมียนมา ทำให้ไม่สามารถดำเนินกิจการธนาคารทางกายภาพแบบดั้งเดิมได้ จึงต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย
ธนาคาร SDB มุ่งเน้นการให้บริการทางการเงินโดยให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของลูกค้า ธนาคารแห่งนี้ถือกำเนิดขึ้นเพราะการสู้รบที่กำลังดำเนินในเมียนมา ทำให้ประชาชนที่สวามิภักดิ์กับรัฐบาล NUG ต้องเผชิญความยากลำบากในการเข้าถึงบริการทางการเงิน อีกทั้งยังมีความหวาดระแวงว่าธนาคารดั้งเดิมทั้งหลายที่ปัจจุบันอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐบาลทหารจะล่วงละเมิดเสรีภาพทางการเงินของประชาชน โดยเฉพาะเมื่อกองทัพเมียนมาระงับบัญชีของประชาชนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการต่อต้านกองทัพอยู่เรื่อย ๆ รวมไปจนถึงความหวาดกลัวว่าระบบการธนาคารภายใต้การควบคุมของรัฐบาลทหารจะล่มสลาย
หน้าที่อีกด้านหนึ่งของธนาคาร SDB คือเป็นช่องทางระดมทุนสนับสนุนรัฐบาล NUG สำหรับเคลื่อนไหวต่อสู้กับกองทัพเมียนมา ประชาชนที่ฝากเงิน ลงทุน และบริจาค ส่วนหนึ่งทำไปด้วยความต้องการที่จะให้เงินของตนผันไปเป็นงบประมาณสำหรับต่อสู้กับกองทัพ
บริการของธนาคาร SDB ไม่ได้ต่างจากธนาคารทั่วไป เพียงแต่ผันไปให้บริการผ่านช่องทางคริปโตเคอร์เรนซีและบล็อกเชนสำหรับประชาชนที่ไม่สามารถเข้าถึงตัวแทนของธนาคารได้ เช่น การฝากเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์และการโอนเงินสามารถทำธุรกรรมผ่านผู้แทนของธนาคารประจำชุมชน หรือหากไม่สามารถเข้าถึงได้เนื่องจากการสู้รบที่ดำเนินอยู่ ก็สามารถโอนเงินคริปโตเคอร์เรนซีสกุล USDT (รัฐบาล NUG รับรองให้เป็นสกุลเงินทางการสำหรับใช้ชำระได้ตามกฎหมายตั้งแต่ธันวาคม 2564) ผ่าน Polygon Network เข้ากระเป๋าดิจิทัลของธนาคารได้เช่นกัน นอกจากนี้ ธนาคารยังมีบริการด้านการเงินอื่น ๆ เช่น การแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศที่รับรองสกุลเงินจ๊าดพม่า ดอลลาร์สหรัฐ ดอลลาร์สิงคโปร์ และบาทไทย
ในส่วนของการระดมทุนและการลงทุน รัฐบาล NUG รายงานว่าระดมทุนได้มากกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อสนับสนุนความพยายามในการโค่นล้มรัฐบาลทหาร เงินจำนวนนี้ส่วนหนึ่งมาจากการบริจาคโดยตรงผ่านคริปโตเคอร์เรนซี แต่ส่วนใหญ่มาจากผลิตภัณฑ์เพื่อการลงทุน เช่น การขายพันธบัตร Spring Revolution Special Treasury Bond ที่คิดเป็นถึงร้อยละ 45 ของเงินทุนที่ NUG มีทั้งหมด ผลิตภัณฑ์เพื่อการลงทุนอื่น ๆ ที่น่าสนใจและสร้างเงินให้กับ NUG ได้มาก เช่น การออกเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีของธนาคารเพื่อให้ประชาชนผู้ถือครองเหรียญมีส่วนเป็นเจ้าของกิจการธนาคาร และโครงการ Spring Pyin Oo Lwin Investment ที่ถือว่าเป็นการลงทุนที่ความเสี่ยงสูงมาก ประชาชนผู้ลงทุนต้องใช้อุดมการณ์มากกว่าการหวังผลตอบแทนทางการเงิน เพราะเป็นโครงการที่รัฐบาล NUG ประกาศขายที่ดินที่ปัจจุบันอยู่ภายใต้การครอบครองของรัฐบาลทหาร โดยขายในราคาหนึ่งในสามของราคาตลาด ให้ประชาชนชำระเงินดาวน์เพียงร้อยละ 40 รัฐบาล NUG สัญญาว่าจะพัฒนาที่ดินนี้ทันทีที่ยึดอำนาจคืนจากรัฐบาลทหารได้สำเร็จ หลังจากนั้นประชาชนค่อยมาชำระเงินส่วนที่เหลือร้อยละ 60 แล้วเข้าอยู่อาศัย
ประชาชนส่วนหนึ่งในเมียนมาใช้คริปโตเคอร์เรนซีและบล็อกเชนเป็นเครื่องมือสำหรับการต่อสู้กับรัฐบาลทหาร แต่ก็ไม่แน่ใจว่าความเคลื่อนไหวนี้สอดคล้องกับอุดมการณ์ดั้งเดิมของ Crypto-anarchist หรือไม่ เพราะถึงอย่างไรก็ยังเป็นการดำเนินกิจการธนาคารที่ไม่ได้ต่างจากธนาคารดั้งเดิม เพียงแต่ย้ายจากโลกเชิงกายภาพมาใช้ประโยชน์จากบล็อกเชนและคริปโตเคอร์เรนซี และที่สำคัญไปกว่านั้น อำนาจในการควบคุมระบบการเงินยังเป็นของรัฐบาล ก็คือรัฐบาล NUG กล่าวโดยสรุปคือเป็นการสู้ระหว่าง 2 รัฐบาลในการควบคุมอำนาจทางการเงิน โดยที่รัฐบาลฝ่ายหนึ่งหยิบฉวยเอาบล็อกเชนและคริปโตเคอร์เรนซี่เป็นเครื่องมือ ไม่ได้เกี่ยวข้องอย่างใดเลยกับการกระจายอำนาจทางการเงินและปกป้องความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพของประชาชนจากรัฐบาล
————————————————————————
27 ตุลาคม 2566