สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ยืดเยื้อมานานกว่า 2 ปียังไม่มีสัญญาณว่าจะจบลงได้เร็ว ๆ นี้ เพราะนอกจากผู้นำของทั้ง 2 ประเทศยังไม่ยอมหันหน้าเข้าหาการเจรจาร่วมกันแล้ว ยังไม่มีประเทศไหนแสดงบทบาทเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยปัญหา หรือลดระดับความตึงเครียดในสงครามครั้งนี้ได้ ปัจจุบันความเคลื่อนไหวด้านการทหารและปฏิบัติการข่าวสารของทั้ง 2 ฝ่ายยังคงดำเนินการต่อไป เป้าหมายเพื่อชัยชนะและอธิปไตยเหนือดินแดนที่มีความสำคัญต่อการเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ และการครอบครองทรัพยากรสำคัญ
ที่ผ่านมาสงครามรัสเซีย-ยูเครนเผชิญเหตุการณ์ที่จะเป็น “จุดเปลี่ยน” ทิศทางความขัดแย้งครั้งนี้บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์วินาศกรรมในพื้นที่ของรัสเซีย ความพยายามลอบสังหารผู้นำยูเครน การเปลี่ยนยุทธวิธีของทั้ง 2 ฝ่าย และล่าสุด การที่ยูเครนตัดสินใจบุกโจมตีข้ามพรมแดนเข้าไปในภูมิภาคเคิร์สของรัสเซียเพื่อยึดครองพื้นที่และต่อรองให้สร้างเป็นแนวกันชนระหว่าง 2 ประเทศ …เหตุการณ์เหล่านี้ล้วนส่งผลให้ภาพรวมบรรยากาศสงครามตึงเครียดมากขึ้น เพราะเป็นการเพิ่มแรงกดดันต่อฝ่ายตรงข้าม ด้วยการแสดงแสนยานุภาพทางการทหาร ที่ยังนับว่าเป็น hard power ข่มขู่ข่มขวัญและบังคับให้คู่ขัดแย้งต้องตัดสินใจเลือกใช้ยุทธวิธีใหม่ ๆ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ ที่หลายคนอาจจะมองว่า “ก็ยังรบกันเหมือนเดิม” แต่เราขอนำเสนอในบทความนี้ว่า…สถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนตอนนี้เปลี่ยนไปและมีโอกาสจะไม่เหมือนเดิม เพราะทั้งรัสเซียและยูเครน กำลังจะมีอาวุธยุทโธปกรณ์ชุดใหม่ ที่อาจกลายเป็น “จุดเปลี่ยน” สำคัญ
รูปแบบอาวุธและยุทโธปกรณ์ในการทำสงครามแต่ละครั้ง ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการเอาชนะ หรือช่วงชิงความได้เปรียบในสนามรบอย่างมาก เพราะอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูง แม่นยำ และมีอานุภาพทำลายล้างสูง ย่อมสร้างความได้เปรียบมากกว่า นั่นคือเหตุผลพื้นฐานที่ทำให้สังคมมนุษย์ให้ความสำคัญกับการพัฒนาอาวุธเพื่อปกป้องตัวเองมาตั้งแต่สมัยยุคหิน และในประวัติศาสตร์สงครามยุคใหม่…การใช้ระเบิด จรวด และขีปนาวุธ ได้กลายเป็น “จุดเปลี่ยน” ในสนามรบ…. ว่ากันว่า…. ประเทศที่ใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลยุคใหม่ประเทศแรก คือ เยอรมนี ในรูปแบบจรวดนำวิถีรุ่น V2 และภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั่วโลกก็พัฒนาขีปนาวุธขึ้นมาใช้เองหลากหลายรุ่นและรูปแบบ จนกระทั่งอาวุธที่มีพิสัยหรือระยะยิงไกล กลายเป็น 1 ในอาวุธที่ได้รับความนิยมและเป็นที่ต้องการ สำหรับประเทศที่เผชิญภัยคุกคาม หรืออยู่ในสภาวะสงครามบ่อยครั้ง
สำหรับสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน ต้องขอย้ำให้ชัดเจนว่า ไม่ได้มีแค่ขีปนาวุธพิสัยไกลเท่านั้นที่จะเป็นจุดเปลี่ยนของเหตุการณ์นี้ เพราะแม้ว่าในห้วงปลายสิงหาคม 2567 สมาชิกเนโตหลายประเทศเริ่มส่งสัญญาณว่าจะอนุญาตให้ยูเครนได้ใช้ขีปนาวุธพิสัยไกล เพื่อต้านทานกองทัพรัสเซีย รวมทั้งอนุญาตให้ใช้อาวุธดังกล่าวในการโจมตีเข้าไปในอาณาเขตของรัสเซียด้วย โดยเนโตเชื่อว่าขีปนาวุธพิสัยไกลจะช่วยให้ยูเครนตอบโต้รัสเซียได้มากขึ้น และอาจกดดันรัสเซียให้ยอมยุติสงครามครั้งนี้ได้ โดยมีข่าวเมื่อกันยายน 2567 ว่าสหรัฐฯ กับสหราชอาณาจักร อาจจะอนุญาตให้ยูเครนใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลรุ่น Storm Shadow ซึ่งยิงได้ไกลระยะ 250 กิโลเมตร เพื่อทำสงครามกับรัสเซีย
แต่มุมมองของเนโตก็ไม่ได้ทำให้รัสเซียหวั่นใจเลย!! ซ้ำยังดึงตึงเปรี๊ยะกว่าเดิม!! เปลี่ยนท่าทีเป็นการขู่ว่ารัสเซียอาจต้องทำสงครามกับเนโต หากเนโตปล่อยให้ยูเครนใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลได้จริง!!
ดังนั้น การตอบโต้ของรัสเซียต่อกรณียูเครนจะใช้ขีปนาวุธพิสัยไกล ก็อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนบรรยากาศในสนามรบรัสเซีย-ยูเครนด้วย รัสเซียมีแนวโน้มจะเร่งสะสมอาวุธอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อเตรียมรับมือกับความเคลื่อนไหวทางทหารของยูเครน โดยมีความเป็นไปได้สูงมากที่รัสเซียจะหันไปใช้อาวุธที่ได้มาจากมิตรประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเกาหลีเหนือ หรืออิหร่าน ซึ่งทั้ง 2 ประเทศที่มีอาวุธที่พัฒนาขึ้นเองและมีขีดความสามารถแบบที่ยูเครนอาจจะไม่เคยพบเจอมาก่อน จึงอาจจะต้องมีการปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับอาวุธใหม่ ๆ ของฝ่ายรัสเซียด้วย …รวมไปถึงติดตามความเคลื่อนไหวของรัสเซียที่อาจกลับไปใช้อาวุธนิวเคลียร์เชิงยุทธวิธี ที่รัสเซียประกาศแล้วว่าจะเตรียมไว้เพื่อปกป้องความมั่นคงของชาติ
ปัจจุบันยูเครนเองก็ไม่ได้อยู่นิ่งเฉย หรือรอรับความช่วยเหลือด้านการทหารจากประเทศตะวันตกเพียงอย่างเดียว ยูเครนยังปรับอาวุธที่มีอยู่ให้เหมาะสมกับยุทธการและการสู้รบในพื้นที่ด้วย ล่าสุด ยูเครนใช้โดรนรุ่น “Dragon Drones” ที่มีความแม่นยำ บินต่ำ โปรยสารเคมีที่มีความร้อนสูงใส่พื้นที่ศัตรู คาดว่าอาวุธรุ่นนี้พัฒนาโดยบริษัทในยูเครนเอง ซึ่งการใช้อาวุธรูปแบบนี้ไม่ขัดต่อกฎหมายสงคราม แม้ว่าจะค่อนข้างอันตรายมากก็ตาม
…………สรุปว่าความเปลี่ยนแปลงที่อาจจะกำลังเกิดขึ้นในสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทั้งที่เกิดจากการตัดสินใจของผู้นำรัสเซีย/ ยูเครน คราวนี้รวมไปถึงท่าทีของเนโตในเรื่องการสนับสนุนอาวุธ หรือขีปนาวุธพิสัยไกล จะเป็น “จุดเปลี่ยน” อีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน แม้ว่าที่ผ่านมาเนโตก็ให้อาวุธสนับสนุนยูเครนมาตลอด ประเทศที่ให้ความช่วยเหลือคิดเป็นมูลค่ามากเป็นอันดับ 1 ได้แก่ สหรัฐฯ ตามมาด้วยเยอรมนี สหราชอาณาจักร เดนมาร์ก และเนเธอร์เลนด์ ยุทโธปกรณ์สำคัญ ๆ ที่ทำให้รัสเซียไม่สบายใจ ประกอบด้วยเครื่องบินรบรุ่น F-16 ขีปนาวุธรุ่น Starstreak รวมทั้งอาวุธต่อต้านขีปนาวุธหลากหลายรุ่น ทั้ง NASAMS และ Patriot
ขอประเมินว่า หากเนโตอนุญาตให้ยูเครนใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลโจมตีรัสเซีย จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในสถานการณ์นี้ และมีโอกาสทำให้ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับเนโตยกระดับ ขยับขยายกลายเป็นการเผชิญหน้าทางการทหารครั้งใหม่ระหว่างสมาชิกเนโตกับรัสเซียโดยตรง …หรืออีกหนึ่งความเป็นไปได้ คือ “จุดเปลี่ยน” ครั้งนี้ จะกลายเป็นโอกาสให้ยูเครนเป็นฝ่ายปิดฉากสงคราม!? ซึ่ง scenario นี้อาจเป็นไปได้ยาก เพราะกว่าอาวุธใหม่จะเดินทางมาถึงยูเครน รัสเซียก็อาจจะตัดสินใจตัดไฟแต่ต้นลม ระดมถล่มยูเครนอีกครั้งก็เป็นไปได้ ซึ่งก็จะทำให้บรรยากาศความมั่นคงในยุโรปไร้เสถียรภาพออกไปอีกระยะยาว