งานข่าวกรองเป็นงานที่สำคัญอย่างมากต่อภารกิจด้านความมั่นคง แต่ในการบริหารประเทศสมัยแรกของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจกล่าวได้ว่า ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับงานข่าวกรองมากนัก จึงต้องจับตามองต่อไปว่าในสมัยรัฐบาลทรัมป์ 2.0 งานข่าวกรองจะมีบทบาท และทิศทางอย่างไรต่อภารกิจด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ ที่ต้องการคุมทิศทางโลกมาทุกยุคทุกสมัย
เริ่มรัฐบาลทรัมป์ 2.0 ประธานาธิบดีทรัมป์มุ่งเน้นปฏิรูปการทำงานของหน่วยงานภายในประชาคมข่าวกรองสหรัฐฯ จากเดิมที่ในสมัยรัฐบาลอดีตประธานาธิบดีโจเซฟ ไบเดน เน้นใช้การทูตข่าวกรอง เป็นการทำงานเชิงรุกและแข็งกร้าวมากขึ้น เฉพาะอย่างยิ่ง สำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (Central Intelligence Agency-CIA) เพื่อป้องปรามภัยคุกคามจากจีน อิหร่าน เกาหลีเหนือ สงครามรัสเซีย-ยูเครน ความมั่นคงบริเวณชายแดน และพร้อมรับมือกับความเสี่ยงจากเทคโนโลยีอุบัติใหม่ เป็นต้น
การเปลีี่ยนแปลงนโยบายสำคัญ ๆ ที่รัฐบาลทรัมป์ 2.0 จะดำเนินการ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายข้างต้น เช่น
- การปรับขนาดและโครงสร้างองค์กร เช่น การควบรวมสำนักต่าง ๆ ที่มีภารกิจคล้ายกันและกำหนดภารกิจให้ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี ที่มีถึง 5 สำนัก การเสนอเงินชดเชยให้ จนท.ลาออกก่อนอายุครบเกษียณ รวมทั้งชักชวน และคัดเลือกบุคลากรรุ่นใหม่ที่สามารถทำงานได้หลากหลายและรอบด้าน ทั้งปฏิบัติการและวิเคราะห์ข่าวกรอง
- การเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงาน ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติการลับอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะต่อจีน รวมทั้งเป้าหมายใหม่ตามข้อสั่งการของประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพื่อรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากทั่วโลก และผลิตรายงานวิเคราะห์ข่าวกรองที่เฉียบคมและเป็นกลาง เช่น กรณีสืบสวนหาต้นตอการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 การใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการรวบรวมข้อมูล อาทิ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และควอนตัมคอมพิวเตอร์
- การเพิ่มความร่วมมือระหว่างประชาคมข่าวกรองกับภาคเอกชนสหรัฐฯ โดยอนุญาตให้ จนท.CIA ทำงานระยะสั้นในภาคเอกชน เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์และเครือข่าย กับทั้งให้พนักงานบริษัทเทคโนโลยีร่วมงานกับ CIA ในตำแหน่งระดับกลางได้
ประธานาธิบดีทรัมป์ยังแต่งตั้งบุคคลใกล้ชิดที่มีแนวคิดสอดคล้องกับตนในการปรับบทบาทหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ให้สามารถรับมือภัยคุกคามจากต่างชาติ ควบคู่กับใช้แนวทางเข้าถึงสาธารณชนด้วยการเปิดเผยความจริงเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับชาวอเมริกัน ได้แก่ นางทูลซี แกบบาร์ด อดีต สส.พรรคเดโมแครต รัฐฮาวาย เป็น ผอ.ข่าวกรองแห่งชาติ (Director of National Intelligence-DNI) นายจอห์น แรทคลิฟฟ์ อดีต DNI ระหว่างปี 2563-2564 เป็น ผู้อำนวยการ CIA และนายไมเคิล เอลลิส อดีต ที่ปรึกษาสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ (National Security Agency-NSA) เป็นรองผู้อำนวยการ CIA
ความท้าทายในการทำงานข่าวกรองในสมัยรัฐบาลทรัมป์ 2.0 คงจะเป็นการที่ DNI และ ผอ.CIA คนใหม่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประธานาธิบดีทรัมป์ จึงถูกวิจารณ์ว่าไม่เป็นกลางทางการเมือง และอาจปฏิบัติภารกิจและนำเสนอรายงานข่าวกรองที่สอดคล้องกับแนวทางของประธานาธิบดีสหรัฐฯ พิจารณาจากกรณี CIA ส่งโดรน MQ-9 สอดแนมกลุ่มค้ายาเสพติดในเม็กซิโก เพื่อสนับสนุนภารกิจกวาดล้างเครือข่ายยาเสพติดบริเวณชายแดน ซึ่งเป็นนโยบายหาเสียงหลักของประธานาธิบดีทรัมป์ ตลอดจนอาจชี้แจงข้อมูลต่อคณะกรรมาธิการของรัฐสภาสหรัฐฯ ที่เอื้อประโยชน์ต่อประธานาธิบดีทรัมป์ โดยเฉพาะการต่ออายุอำนาจสอดแนมการสื่อสารตามมาตรา 702 ในบทแก้ไขเพิ่มเติมรัฐบัญญัติการสอดแนมข่าวกรองต่างประเทศ (Foreign Intelligence Surveillance Act-FISA) ในเมษายน 2569 ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์คัดค้าน เพราะเห็นว่าเป็นเครื่องมือที่หน่วยงานความมั่นคงใช้เข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลและสอดแนมการสื่อสารของชาวอเมริกัน