เมื่อวันที่ 28 ก.พ. 68 เว็บไซต์ข่าว The Next Web (TNW) รายงานว่า กระทรวงกลาโหมเยอรมนีร่วมมือกับบริษัท”Polaris” ในการพัฒนาอากาศยานความเร็วเหนือเสียงแบบ 2 Stage ภายใต้โครงการ “Aurora” ที่สามารถนำกลับมาใช้งานใหม่ได้โดยอากาศยานดังกล่าวเป็นทั้งจรวดและเครื่องบินที่สามารถขึ้นและลงจอดบนรันเวย์ และสามารถบินผ่านชั้นบรรยากาศวงโคจรต่ำของโลกโดยบรรทุกน้ำหนักได้มากถึง 1 ตันภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว บริษัทมีหน้าที่ออกแบบ สร้าง และทดสอบการบินของเครื่องบินอวกาศ โดยอากาศยานลำนี้จะทำหน้าที่เป็นฐานทดสอบสำหรับการวิจัยการบินและการป้องกันความเร็วเหนือเสียง โดย Polaris ระบุว่าอากาศยานลำนี้สามารถใช้เป็นเรือบรรทุกดาวเทียมขนาดเล็กได้หากเปลี่ยนเป็นการใช้งานแบบไม่สามารถใช้ซ้ำได้
ทั้งนี้ Polaris ได้พัฒนาเครื่องบินอวกาศ Aurora รุ่นสาธิตแล้ว 3 ลำ โดยอากาศยานลำแรก Mira I นั้นประสบอุบัติเหตุตกไม่นานหลังจากทำการบินครั้งแรก ในขณะที่เครื่องบินอีกสองลำถัดมาอย่าง Mira-II และ Mira-III โดยเฉพาะ Mira-II นั้นทดสอบบินเหนือทะเลบอลติก สามารถส่งแรงขับ 900 นิวตันและเร่งยานต้นแบบน้ำหนัก 229 กก. บินด้วยความเร็ว 864 กม./ชม. ได้ ทั้งนี้อากาศยานรุ่นสาธิตทั้ง 2 ลำนั้นสามารถทำการบินทดสอบสำเร็จไปแล้วกว่า 100 ครั้งนับตั้งแต่ทำการบินครั้งแรกเมื่อเดือนกันยายนปี พ.ศ. 2567 โดยจากการทดสอบดังกล่าวทำให้การออกแบบ Aurora ซึ่งเป็นรุ่นถัดมาของ Mira นั้นได้รับการวางแผนการออกแบบให้สามารถทำความเร็วได้มากกว่าความเร็วเสียงที่ 5 มัค (มากกว่า 6,125 กม./ชม.) หรือมากกว่านั้น โดยต้นแบบของซีรีส์ Mira นั้นใช้เครื่องยนต์เจ็ท(Jet engines)ในการขึ้นบิน บินร่อน และลงจอด ขณะเดียวกันก็ใช้เครื่องยนต์จรวดแอโรสไปค์(Aerospike rocket engine)สำหรับการทดสอบการขับเคลื่อนด้วยความเร็วสูงเนื่องจากมีการปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของความดันอากาศได้ในทุกระดับความสูงและทำให้มีประสิทธิภาพสูงในการออกแบบ อย่างไรก็ตาม แอโรสไปค์มีปัญหาจากด้านการระบายความร้อนและการประกอบที่ยากจนเกินไปส่งผลให้ Polaris ต้องพัฒนาเกี่ยวกับเทคโนโลยีและวัสดุระบายความร้อนขั้นสูงเพื่อแก้ไขปัญหานี้