เพิ่งจะเสร็จสิ้นกันไปกับการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC ครั้งที่ 6 ที่ เชื่อว่าหลายคนคงรับทราบผลของการหารือครั้งนี้กันไปแล้ว และก็อย่างที่ทุกคนทราบกันดี ปัญหาข้อพิพาทเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชานั้นมีมาอย่างยาวนาน ถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและยังไม่สามารถหาข้อสรุปที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดระหว่างกันได้ แม้จะเกิดเหตุกระทบกระทั่งกันมาอย่างต่อเนื่องแต่ทั้งสองฝ่ายก็พยายามหาทางออกร่วมกันผ่านกลไกความร่วมมือระหว่างกัน เพื่อสร้างชายแดนทั้งสองประเทศให้เป็นชายแดนแห่งสันติภาพ และมิตรภาพระหว่างกัน
บทความนี้ จะมาเจาะลึกเพื่อไขข้อสงสัยกลไกที่สำคัญที่ไทยและกัมพูชาตกลงร่วมกัน แต่ก่อนอื่นเรามารับทราบข้อมูลพื้นที่ชายแดนไทยกับกัมพูชากันก่อน ไทยกับกัมพูชามีชายแดนติดต่อกันมากกว่า 800 กิโลเมตร ปัญหาเขตแดนที่เกิดขึ้นมามีรากฐานมาจากสนธิสัญญาและแผนที่ที่จัดทำขึ้นในสมัยอาณานิคมฝรั่งเศส ซึ่งมักมีความไม่ชัดเจนและตีความได้หลายทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ หรือพื้นที่ที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เช่น กรณีปราสาทพระวิหาร ซึ่งเป็นกรณีศึกษาสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของปัญหา
เพื่อจัดการปัญหาที่ซับซ้อน รัฐบาลไทยและกัมพูชาจึงจัดตั้งกลไกความร่วมมือทวิภาคี ที่สำคัญ ได้แก่
คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission – JBC) ซึ่งเป็นกลไกหลักที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อดำเนินการสำรวจและปักปันเขตแดนทางบกร่วมกันตามหลักการที่ตกลงร่วมกันไว้ องค์ประกอบของกลไก ประกอบด้วยผู้แทนดับสูงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งสองประเทศ อาทิ ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ กรมแผนที่ทหาร และผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและเทคนิค ที่ประชุม JBC ไม่มีกำหนดการประชุมหารือที่แน่นอนระหว่างกัน แต่จัดการประชุมเป็นระยะ ๆ เพื่อพิจารณาทบทวนข้อมูล แผนที่และเอกสารที่เกี่ยวข้อง รวมถึงลงพื้นที่สำรวจในจุดที่มีข้อพิพาทเพื่อหาข้อยุติในการปักปันเขตแดนที่ยอมรับร่วมกัน
การทำงานของกลไก JBC ไม่ง่ายหนัก มีความท้าทายหลายอย่าง ทั้งการตีความแผนที่และสัญญาที่แตกต่างกัน ข้อจำกัดทางเทคนิคในการสำรวจ รวมถึงประเด็นที่ทางการเมืองที่อาจกระทบต่อการเจรจา ซึ่งอย่างที่ได้บอกไปว่า การประชุม JBC ครั้งที่ 6 ที่จัดในราชธานีพนมเปญ กัมพูชา ระหว่าง 14-15 มิถุนายน 2568 ซึ่งเป็นการประชุมที่จัดขึ้นในรอบ 13 ปีระหว่างกัน หลัก ๆ เน้นการหารือ ประเด็นเทคนิคในการจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ 2 ของการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนตามแผนแม่บทฯ และ ฝ่ายไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย – กัมพูชา สมัยพิเศษ ซึ่งจะมีขึ้นในช่วงเดือนกันยายน 2568
สำหรับกลไกความมั่นคงในระดับอื่น ๆ ได้แก่ คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee – RBC) เป็นกลไกที่ทำงานในระดับท้องถิ่น มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมความร่วมมือและการแก้ไขปัญหาพื้นที่ชายแดนโดยตรง มีองค์ประกอบ คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือ ผู้บัญชาการทหารในพื้นที่ชายแดนไทยและกัมพูชา โดย RBC จะจัดประชุมกันเพื่อหารือประเด็นชายแดน ทั้งความมั่นคง การค้า การผ่านแดน การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ รวมถึงแก้ไขปัญหาความเข้าใจผิดหรือตึงเครียดในพื้นที่ด้วย
หากการใช้กลไกทั้งสองยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาทวิภาคีระหว่างกันได้ ยังมี การประชุมระดับผู้นำและรัฐมนตรี เป็นการประชุมสุดยอดระหว่างนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันและให้ทิศทางนโยบายในการแก้ไขปัญหาเขตแดน การพบปะหารือในระดับสูงช่วยยืนยันเจตนารมณ์ทางการเมืองในการแก้ไขปัญหา ส่งเสริมความไว้เนื้อเชื่อใจ และสามารถช่วยคลี่คลายประเด็นที่ซับซ้อนซึ่งกลไกทางเทคนิคไม่สามารถยุติได้
กลไกต่าง ๆ เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการเจรจาหารือระหว่างกัน แต่หลักการสำคัญในการแก้ไขปัญหาพิพาทเขตแดนระหว่างกันได้ทั้งสองประเทศยึดมั่นในหลักการ สันติวิธี คือต้องยึดมั่นในการแก้ไขปัญหาผ่านการเจรจาด้วยสันติวิธี หลีกเลี่ยงการปะทะด้วยกำลัง เคารพอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน ระหว่างกันและกัน เคารพหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และสุดท้ายยึดหลักผลประโยชน์ร่วมกัน
แม้จะมีความพยายามอย่างต่อเนื่อง แต่การแก้ไขปัญหาเขตแดนที่ยืดเยื้อมายาวนานก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ความท้าทายยังคงมีอยู่ เช่น การตีความเอกสารที่แตกต่างกัน การขาดความคืบหน้าในการปักปันเขตแดนในบางพื้นที่ และอิทธิพลของการเมืองภายในของทั้งสองประเทศ
และกลไกความร่วมมือทวิภาคี ไม่ว่าจะเป็น JBC หรือ RBC หรือการประชุมระดับสูง ล้วนเป็นหัวใจสำคัญในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทเขตแดนไทย-กัมพูชา แม้จะมีความซับซ้อนและความท้าทาย แต่ความมุ่งมั่นในการเจรจาและหาทางออกร่วมกันโดยสันติวิธี คือหนทางเดียวที่จะนำไปสู่การยุติปัญหาอย่างยั่งยืน และเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้านให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นต่อไป