![]()
การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้พลังงาน (energy transition) จากพลังงานฟอสซิลไปสู่พลังงานสะอาด เป็นเป้าหมายสำคัญที่องค์กรระหว่างประเทศและนานาชาติให้ความสำคัญอย่างจริงจังมากขึ้น เพราะทั่วโลกตระหนักถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งความซับซ้อนในการบริหารจัดการเศรษฐศาสตร์การเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากการพึ่งพาพลังงานฟอสซิลมากเกินไป ทำให้ประเทศต่าง ๆ ให้ความสนใจและทุ่มเทกับเป้าหมายแสวงหาความมั่นคงทางพลังงานด้วยการพัฒนานวัตกรรม รวมทั้งเทคโนโลยีที่พึ่งพาพลังงานสะอาดมากขึ้น ซึ่งต้องย้ำให้ชัดเจนว่า รัฐบาลหรือภคเอกชนทั่วโลกไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์ด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมเพียงอย่างเดียว เพราะว่า “การเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาด” ได้กลายเป็นแหล่งพลังอำนาจของรัฐในการต่อรองในเวทีระหว่างประเทศด้วย
ตั้งแต่ปี 2558 “การเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาด” ได้กลายเป็นวาระสำคัญและประเด็นยอดนิยมในการประชุมระดับโลก เนื่องจากองค์กรนานาชาติกำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ (net-zero) ในปี 2573 หรือใน 5 ปีข้างหน้า ซึ่งปรากฏหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และการวิจัยทั่วโลกแล้วว่า การเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาด จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ ดังนั้น ประเทศต่าง ๆ จึงหันไปตั้งเป้าหมายการวิจัยและพัฒนาพลังงานสะอาดให้มีประสิทธิภาพและราคาถูกลง ทั้งเพื่อใช้ในประเทศและต่อยอดไปสู่การส่งออก ตลอดจนมีความพยายามอย่างค่อยเป็นค่อยไปที่จะลดการใช้พลังงานฟอสซิล หรือน้ำมันและถ่านหินด้วย แม้จะยังดำเนินไปแบบช้า ๆ แต่ก็มีความคืบหน้าที่เห็นได้ชัดเจน เช่น การที่ผู้บริโภคสนใจและใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น รวมทั้งการผลิตและการส่งออกแผงโซลาร์เซลล์ที่เติบโตได้อย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
ในอนาคต ทั่วโลกจะยังคงให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงไปใช้พลังงานสะอาด หลักฐานก็คือ การประชุม COP 30 หรือการประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติที่จะมีขึ้นใน พฤศจิกายน 2568 ที่บราซิล ก็มีเรื่องการเปลี่ยนรูปแบบพลังงานโลก เป็นหัวข้อหารือสำคัญ …ซึ่งนั่นก็เป็นสาเหตุให้ปัจจุบัน ทั่วโลกเร่งทำข้อมูลเกี่ยวกับความคืบหน้าของประเทศต่าง ๆ ที่จะพัฒนาและส่งเสริมการใช้พลังงานรูปแบบใหม่ที่สะอาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโลก จนได้พบคำตอบว่า “จีน” หรือมหาอำนาจแห่งเอเชีย ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำโลกอันดับ 1 ด้านการลงทุนเพื่อการพัฒนาและวิจัยพลังงานสะอาดแล้ว
สาเหตุที่ทำให้ “จีน” กลายเป็นผู้นำโลกได้อย่างรวดเร็วและแซงหน้าสหรัฐฯ เป็นเพราะรัฐบาลจีน นำโดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มีวิสัยทัศน์และนโยบายที่ชัดเจน ต่อเนื่อง รวมทั้งตั้งกรอบงบประมาณจำนวนมากที่สุดในโลกเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาด ควบคู่กับการปรับใช้ทันทีในประเทศจีนเองทั้งในภาคอุตสาหกรรมและครัวเรือน เปรียบเสมือนรัฐบาลจีนมีประชาชนในประเทศเป็น “Sandbox” ในการทดลองใช้นวัตกรรมด้านพลังงานที่สร้างขึ้นมา เพื่อทดสอบประสิทธิภาพ ตรวจจับความผิดพลาด และแก้ไขปัญหาได้ทันที …ดังนั้น รูปแบบการพัฒนาของจีนที่ใช้โมเดล state-driven growth ประกอบกับนโบบายที่ชัดเจน งบประมาณมหาศาล และความสามารถในการประยุกต์ใช้อย่างรวดเร็ว ทำให้จีนมีศักยภาพที่จะเติบโตเป็นมหาอำนาจด้านพลังงานสะอาดของโลก แซงหน้าสหรัฐฯ ที่แม้ว่าจะมีวิทยาการและเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า แต่ “ผู้นำ” สหรัฐฯ เปลี่ยนแปลงทุก 4 ปี โดยไม่มีความมุ่งมั่นมากพอที่จะทุ่มเทด้านการพัฒนาพลังงานสะอาดแบบก้าวกระโดด ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันกับจีนในด้านนี้
การที่จีนก้าวเป็นผู้นำโลกด้านการส่งเสริมและพัฒนาการเปลี่ยนแปลงรูปแบบพลังงาน จากการใช้พลังงานฟอสซิลไปเป็นพลังงานสะอาด รวมทั้งประสบความสำเร็จในการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานลมและแสงอาทิตย์มากขึ้น เป็นโอกาสให้ทั่วโลกได้เพิ่มความร่วมมือและศึกษาบทเรียนการปรับตัวของจีนเพื่อนำไปใช้ในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบพลังงานในประเทศ อย่างไรก็ตาม การเติบโตของจีนเริ่มทำให้เกิดปรากฏการณ์ “Green Surplus” หรือการที่จีนครอบครองห่วงโซ่อุปทานพลังงานสะอาดในสัดส่วนที่มากกว่าประเทศอื่น ๆ จนเสี่ยงกลายเป็นการผูกขาดมากเกินไป ..ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อจีนใช้เทคโนโลยีพลังงานสะอาดในอุตสาหกรรมและครัวเรือนของตนเองจนมีความมั่นใจและพร้อมจะส่งออกไปต่างประเทศ จีนจะเริ่มใช้ “ความสำเร็จในการใช้พลังงานสะอาด” ไปโน้มน้าวให้นานาชาติเปิดรับการลงทุนเพื่อพัฒนาพลังงานสะอาดในต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศซีกโลกใต้ หรือ Global South ซึ่งมีความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ใกล้ชิดกับจีนอยู่แล้ว
“พลังงานสะอาด” จะเป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่จีนเข้าไปร่วมมือและลงทุนในต่างประเทศ โดยใช้โมเดลใกล้เคียงกับการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตามข้อริเริ่ม Belt and Road Initiative หรือ BRI ที่หลายประเทศ รวมทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คุ้นเคยและมักเชื่อมโยง BRI กับเส้นทางรถไฟความเร็วสูง ที่เป็นเหมือนหัวใจสำคัญของจีน…ต่อจากนี้รูปแบบการลงทุนและความร่วมมือที่รัฐบาลจีน หรือภาคเอกชนจากมลฑลต่าง ๆ ของจีนที่จะเข้าไปเจรจากับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งประเทศกลุ่ม Global South อาจจะไม่ใช่เรื่องการสร้างถนน สะพาน ท่าอากาศยาน หรือทางรถไฟอีกต่อไป ..แต่จะเป็นเรื่องการสร้างฟาร์มกังหันลมขนาดใหญ่ หรือการสร้างนิคมอุตสาหกรรมผลิตแบตเตอร์รี และแผงโซลาร์เซลล์ มากขึ้น โดยที่จีนจะอ้างเหตุผลเพื่อก้าวสู่เป้าหมายใช้พลังงานสะอาดร่วมกัน
การร่วมมือกับจีนในประเด็นนี้น่าจะเป็นผลดีต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและเตรียมความพร้อมสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน ซึ่งมีโอกาสจะใช้ต้นทุนที่ต่ำลงเป็นผลดีต่อผู้บริโภค ควบคู่กับรักษาสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ประเทศที่ร่วมมือกับจีน โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เป็น “พื้นที่เป้าหมาย” ในการลงทุนของจีน อาจเผชิญความท้าทายในการบริหารจัดการความร่วมมือกับจีน ตัวอย่างที่น่าสนใจในปัจจุบัน คือ อินโดนีเซีย
ปัจจุบันจีนลงทุนด้านพลังงานสะอาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นสัดส่วนร้อยละ 31 จากการลงทุนทั่วโลก โดยมี “อินโดนีเซีย” เป็นพื้นที่สำคัญ เพราะอินโดนีเซียมีความต้องการใช้พลังงานสูงมากอย่างต่อเนื่อง ขณะที่รัฐบาลอินโดนีเซียเองก็ต้องการบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและก้าวเป็นผู้นำในระดับภูมิภาคด้านการใช้พลังงานสะอาด ทำให้ตอบรับการลงทุนจากจีนผ่านข้อตกลงอย่างน้อย 11 ฉบับ มีโครงการพลังงานขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ Cirata Floating Solar Power Plant ที่เป็นการลงทุนร่วมกับบริษัท PowerChina ของจีน และกู้ยืมทุนมูลค่าอย่างน้อย 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากธนาคารเพื่อการพัฒนาของจีนด้วย นอกจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ มีรายงานว่าจีนเข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบจ่ายพลังงานระดับชาติของอินโดนีเซีย รวมทั้งโปรเจคการเสริมสร้างความสามารถให้อินโดนีเซียเป็นศูนย์กลางการผลิตแบตเตอร์รี่พลังงานไฟฟ้าของภูมิภาต
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นตามหลักคิดความร่วมมือระหว่างประเทศที่มีผลประโยชน์สอดคล้องกัน (mutual interest) และการถ่ายทอดเทคโนโลยีระหว่างประเทศ ทำให้อินโดนีเซียสามารถพัฒนาพลังงานสะอาดได้อย่างรวดเร็ว แต่นักวิเคราะห์ตั้งคำถามเกี่ยวกับความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นทั้งด้านอำนาจการต่อรองในเชิงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ต่อโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ และการควบคุมอิทธิพลของจีนที่จะเติบโตและขยายตัวในอินโดนีเซีย
…กรณีนี้อาจเปรียบเทียบได้เหมือนกับประเทศต่าง ๆ ที่ต้องพิจารณาความร่วมมือกับจีนภายใต้กรอง BRI ให้ละเอียดและมั่นใจว่าจะสามาถรักษาผลประโยชน์แห่งชาติได้ ป้องกันการพึ่งพาจีนมากเกินไป และป้องกันความเสี่ยงที่ “อุตสาหกรรม” ของจีนจะประสบปัญหาในอนาคต เพราะทั่วโลกต้องเข้าใจรูปแบบนโยบายของจีนที่รัฐบาลยังคงเร่งการพัฒนาอตุสาหกรรมต่าง ๆ ด้วยการอุดหนุนราคาและเน้นการผลิตจำนวนมาก จนกลายครั้งทำให้เกิดปัญหาด้านคุณภาพ ปรากฏการณ์อุปทานที่เกินมากกว่าอุปสงค์ (oversupply) และการผลิตสินค้าที่มากเกินกว่าความต้องการในตลาด (overcapacity) นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับมหาอำนาจอื่น ๆ โดยเฉพาะสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปยังมีโอกาสขัดแย้งทางการค้า จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานพลังงานสะอาดในประเทศที่มีความร่วมมือกับจีน
ความร่วมมือกับจีนด้านพลังงานสะอาด รวมทั้งมหาอำนาจอื่น ๆ นอกจากจีน ยังคงเป็นนโยบายที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์อย่างมาก หากรัฐบาล ภาคเอกชน และประชาชนประเทศต่าง ๆ มีความต้องการที่ชัดเจน และเลือกร่วมมือกับจีนในกรอบที่เป็นผลประโยชน์แห่งชาติมากที่สุด ตลอดจนมีกลไกกฎหมายดำเนินการอย่างเข้มงวดเพื่อตรวจสอบการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของมหาอำนาจ ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และรักษาอธิปไตยในการพัฒนาของประเทศต่าง ๆ ให้เน้นตอบโจทย์ความมั่นคงของชาติและประชาชนมากที่สุด








