บรูไน
Brunei Darussalam
เมืองหลวง เคียฟ (Kiev)
ที่ตั้ง อยู่ในยุโรปตะวันออก ติดกับทะเลดำ ตั้งอยู่ระหว่างโปแลนด์ โรมาเนีย และมอลโดวาทางตะวันตก กับรัสเซียทางตะวันออก มีพื้นที่ 603,550 ตร.กม. ขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ในยุโรป รองจากรัสเซีย และประมาณ 1.2 เท่าของไทย แบ่งเป็นพื้นดิน 579,330 ตร.กม. และพื้นน้ำ 24,220 ตร.กม. มีพรมแดนทางบกยาว 5,618 กม.
อาณาเขต
ทิศเหนือ จรดพรมแดนรัสเซียและเบลารุส
ทิศตะวันออก จรดพรมแดนรัสเซีย
ทิศใต้ ติดทะเลดำและทะเลอาซอฟ
ทิศตะวันตก จรดพรมแดนโปแลนด์ สโลวาเกีย ฮังการี โรมาเนีย และมอลโดวา
ภูมิประเทศ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่ม อุดมสมบูรณ์ ทางตะวันตกมีเทือกเขา Carpathians ทางใต้สุดเป็นคาบสมุทรไครเมีย และมีแม่น้ำสำคัญ ๆ ของทวีปยุโรปไหลผ่าน ได้แก่ แม่น้ำดนีเปอร์ แม่น้ำดนีสเตอร์ และแม่น้ำดานูบ ซึ่งไหลลงสู่ทะเลดำ
วันชาติ 24 ส.ค. (ปี 2534) วันประกาศเอกราชจากสหภาพโซเวียต
สมเด็จพระราชาธิบดีฮัจญี ฮัสซานัล โบลเกียห์ มูอิซซัดดิน วัดเดาเลาะห์
His Majesty Sultan Haji Hassanal Bolkiah Mu’izzaddin Waddualah
(สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนองค์ที่ 29 /นรม./รมว.กระทรวงกลาโหม/รมว.กระทรวงการคลัง/รมว.กระทรวงต่างประเทศ/ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ/ ผู้นำศาสนา)
ประชากร 484,991 คน (ปี 2566) เชื้อสายมาเลย์ 67.4% จีน 9.6% และอื่น ๆ 23% มีชนพื้นเมือง 7 ชนเผ่า เรียกโดยรวมว่า มลายูหรือมาเลย์ โครงสร้างประชากร วัยเด็ก (0-14 ปี)21.83% วัยรุ่นถึงวัยกลางคน (15-64 ปี) 71.07%และวัยชรา (65 ปีขึ้นไป) 7.1% อัตราการเกิด 15.98 คนต่อประชากร 1,000 คน อัตราการตาย 3.85 คนต่อประชากร 1,000 คน อายุขัยเฉลี่ยของประชากรโดยรวม 78.61 ปี เพศชาย 76.26ปี เพศหญิง 81 ปี อัตราการเพิ่มของประชากร 1.43%
ศาสนา อิสลาม (ซุนนี) 82.1% คริสต์ 6.7% พุทธนิกายมหายาน 6.3% ฮินดูและอื่น ๆ 4.9%
ภาษา ภาษามาเลย์ (Malay หรือ Bahasa Melayu) เป็นภาษาราชการ ส่วนภาษาอังกฤษและภาษาจีนเป็นภาษาที่ใช้กันแพร่หลาย
การศึกษา จัดการศึกษาให้กับเด็กทุกคนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย การศึกษาแบ่งเป็น 4ระดับ ซึ่งจัดสรรตามกลุ่มอายุ ได้แก่ 1) ระดับปฐมวัย 7 ปี 2) ระดับมัธยมศึกษา 7-8 ปี 3) ระดับเตรียมอุดมศึกษา 2 ปี และ 4) ระดับวิทยาลัยและมหาวิทยาลัย 3-4 ปี ไม่มีการศึกษาสามัญเป็นภาคบังคับ แต่เด็กมุสลิมในบรูไนทุกคนต้องเรียนศาสนาเป็นภาคบังคับใช้เวลารวม 7 ปี โดยมีกระทรวงกิจการศาสนาของบรูไนเป็นผู้กำกับดูแล อัตราการรู้หนังสือของประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป 97.6% งบประมาณด้านการศึกษา 4.4% ของ GDP
การก่อตั้งประเทศ
บรูไนเคยเป็นที่ตั้งอาณาจักรที่เจริญรุ่งเรืองในช่วงศตวรรษที่ 14-16 มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของเกาะบอร์เนียวตอนเหนือ และบางส่วนของหมู่เกาะซูลู (Sulu) มีชื่อเสียงทางการค้า โดยเฉพาะการบูร พริกไทย และทองคำ แต่เสื่อมอำนาจลงในศตวรรษที่ 19 โดยสูญเสียดินแดนจากสงครามโจรสลัด และการขยายอาณานิคมของประเทศตะวันตก ในที่สุดได้เข้าเป็นดินแดนในอารักขาของสหราชอาณาจักรโดยสมบูรณ์เมื่อปี 2449 เศรษฐกิจของบรูไนเริ่มมั่นคงหลังจากสำรวจพบแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ที่เมืองเซรีอา (Seria) ทางด้านตะวันตกเมื่อปี 2472 สหราชอาณาจักรให้อำนาจบรูไนปกครองตนเองตามรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2502 แต่ยังดูแลด้านการต่างประเทศและให้คำปรึกษาด้านการป้องกันประเทศ ผลการเลือกตั้ง ครั้งแรกเมื่อปี 2505 พรรคประชาชนบอร์เนียว (Borneo People’s Party) ได้รับชัยชนะท่วมท้น แต่ถูกกีดกันไม่ให้จัดตั้งรัฐบาลจึงพยายามยึดอำนาจจากสุลต่านแต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากสุลต่านทรงได้รับความช่วยเหลือจากกองทหารกุรข่าของสหราชอาณาจักรที่ส่งตรงมาจากสิงคโปร์ รัฐบาลได้ประกาศภาวะฉุกเฉินมาตั้งแต่ปี 2505 ทำให้ไม่มีการเลือกตั้งมาจนถึงปัจจุบัน บรูไนได้รับเอกราชเมื่อ 1 ม.ค.2527 หลังจากอยู่ภายใต้อารักขาของ สหราชอาณาจักรนานถึง 95 ปี
การเมือง ปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ภายใต้หลักราชาธิปไตยอิสลามมลายู (Melayu Islam Beraja/Malay Islam Monarchy-MIB) ได้แก่ การเป็นประเทศมุสลิมมาเลย์ การยึดหลักศาสนาอิสลาม และการเคารพสถาบันกษัตริย์ รัฐธรรมนูญปัจจุบันกำหนดให้สมเด็จพระราชาธิบดีหรือสุลต่านมีอำนาจสูงสุดทางการเมือง โดยเป็นทั้งประมุขรัฐและ นรม. รวมทั้งกำหนดให้ นรม.ต้องเป็นชาวบรูไนเชื้อสายมาเลย์โดยกำเนิด และนับถือศาสนาอิสลามนิกายซุนนี
ประมุขรัฐ สมเด็จพระราชาธิบดี ฮัจญี ฮัสซานัล โบลเกียห์ มูอิซ ซัดดิน วัดเดาละห์ขึ้นครองราชย์เมื่อ 5 ต.ค. 2510 เป็นสมเด็จพระราชาธิบดีองค์ที่ 29
ฝ่ายบริหาร : มี นรม.เป็นผู้นำ และมีสภาที่ปรึกษา ซึ่งแต่งตั้งโดยสมเด็จพระราชาธิบดี ประกอบด้วย สภารัฐมนตรี (Council of Cabinet Ministers) สภาศาสนา (Religious Council) สภาองคมนตรี (Privy Council) และสภาว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ (Council of Succession) ทั้งนี้ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนทรงควบทั้งตำแหน่งประมุขรัฐและนายกรัฐมนตรีบรูไน
ฝ่ายนิติบัญญัติ : สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไน ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯประกาศให้สับเปลี่ยนสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติชุดใหม่เมื่อ 7 มิ.ย.2565 โดยสมาชิกสภานิติบัญญัติชุดใหม่ ประกอบด้วย สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไน มกุฎราชกุมารแห่งบรูไน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงรวม 14 คน และผู้นำท้องถิ่น ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากสมเด็จพระราชาธิบดีอีก 20 คน รวม 36 คน มีวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี (ปี 2565-2569)
ฝ่ายตุลาการ : ศาลสูงสุด ศาลอุทธรณ์ ศาลแขวง และศาลชะรีอะฮ์ (Sharia Court) ตำแหน่งสำคัญในฝ่ายตุลาการแต่งตั้งโดยสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไน
พรรคการเมือง : บรูไนมีพรรคการเมืองเดียว คือ National Development Party ซึ่งได้รับการจดทะเบียนเป็นพรรคการเมืองที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ไม่สามารถส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากบรูไนไม่มีการเลือกตั้งตั้งแต่ปี 2505 ทั้งนี้ รัฐบาลบรูไนต้องการจำกัดบทบาทพรรคการเมือง โดยใช้กฎหมายความมั่นคงภายในซึ่งห้ามชุมนุมทางการเมือง ถอดถอนการจดทะเบียนเป็นพรรคการเมือง และห้ามข้าราชการ (มีสัดส่วนครึ่งหนึ่งของประชากร) เป็นสมาชิกพรรคการเมือง
เศรษฐกิจ
เศรษฐกิจบรูไนเริ่มกลับมาฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป หลังจากประกาศให้โรค COVID-19 เป็นโรคประจำถิ่นเมื่อ 1 มิ.ย.2565 และกลับมาเปิดพรมแดน รวมถึงการส่งออกสินค้าที่ไม่ใช่น้ำมัน เฉพาะอย่างยิ่งสินค้าเคมี ปุ๋ย และสัตว์น้ำเติบโตมากขึ้น ขณะเดียวกันบรูไนได้ประโยชน์จากการที่ราคาน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติทั่วโลกปรับราคาสูงขึ้น และความต้องการของตลาดโลกกลับมาสู่สภาวะก่อนการแพร่ระบาดโรค COVID-19 แต่เหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนและการขยายเวลาบังคับใช้ผู้ติดเชื้อโรคCOVID-19 เป็นศูนย์ของจีน ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อบรูไนเพิ่มสูงขึ้น โดยรัฐบาลบรูไนพยายามควบคุมราคาสินค้าบริโภคและผลจากสิงคโปร์ใช้มาตรการให้สกุลเงินดอลลาร์สิงคโปร์แข็งค่าขึ้น ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อในบรูไนมีแนวโน้มปรับตัวลดลง
สกุลเงิน ตัวย่อสกุลเงิน : ดอลลาร์บรูไน (BND)
อัตราแลกเปลี่ยนต่อดอลลาร์สหรัฐ : 1 ดอลลาร์บรูไน : 0.73 ดอลลาร์สหรัฐ (ต.ค.2566)
อัตราแลกเปลี่ยนต่อบาท : 1 ดอลลาร์บรูไน : 26.66 บาท (ต.ค.2566)
ดัชนีเศรษฐกิจสำคัญ (ปี 2565)
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) : 16,680 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ : –1.63%
รายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปี : 37,153 ดอลลาร์สหรัฐ
อัตราการว่างงาน : 4.9%
มูลค่าการส่งออก : 14,129 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สินค้าส่งออก : ก๊าซธรรมชาติ ปิโตรเลียมดิบ ปิโตรเลียมกลั่น แอลกอฮอล์อุตสาหกรรม ไฮโดรคาร์บอนอุตสาหกรรม เครื่องจักร และส่วนประกอบยานยนต์
คู่ค้าส่งออกที่สำคัญ : ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย สิงคโปร์ จีน และมาเลเซีย
มูลค่าการนำเข้า : 8,980 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สินค้านำเข้า : ปิโตรเลียมดิบ ปิโตรเลียมกลั่น เครื่องจักร ส่วนประกอบยานยนต์ และอาหาร
คู่ค้านำเข้าที่สำคัญ : มาเลเซีย รัสเซีย สิงคโปร์ จีน ออสเตรเลีย และสหรัฐฯ
คู่ค้าสำคัญ 5 อันดับในกลุ่มอาเซียน : มาเลเซีย สิงคโปร์ ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์
การทหาร กองทัพบรูไนมีขนาดเล็กที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วย ทบ. ทร. และ ทอ. ขึ้นตรงต่อ ผบ.ทหารสูงสุด บรูไนไม่มีการเกณฑ์ทหาร แต่ชายบรูไนอายุ 17 ปี สามารถเข้ารับราชการทหารโดยสมัครใจ กองทัพบรูไนมีกำลังพล 7,200 นาย และกำลังสำรอง 700 นาย เป็น ทบ. 4,400 นาย ทร. 1,200นาย ทอ. 1,100 นาย นอกจากนี้ สุลต่านยังมี กกล.ทหารกุรข่าส่วนพระองค์ (Gurkha Reserve Unit-GRU) ประมาณ 400-500 นาย
งบประมาณทางทหาร ปี 2565 : ประมาณ 435 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ยุทโธปกรณ์สำคัญ : รถถังเบา (สกอร์เปียน) 20 คัน ยานยนต์หุ้มเกราะ 45 คัน เครื่องยิงลูกระเบิดขนาด 81 มม. 24 เครื่อง เรือตรวจการณ์ชายฝั่งและเรือรบ 9 ลำ เรือบรรทุก บ. 4 ลำ บ.ป้องกันทางอากาศ 2 ฝูง ฮ.ขนส่ง 21 เครื่อง
ปัญหาด้านความมั่นคง
ภัยคุกคามจากการก่อการร้ายเป็นปัญหาที่บรูไนให้ความสำคัญ เนื่องจากมีที่ตั้งอยู่ใกล้ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียที่เป็นพื้นที่เคลื่อนไหวของกลุ่มก่อการร้าย Islamic State (IS) ที่ต้องการเผยแพร่แนวคิด หัวรุนแรงแก่ชาวบรูไนและชาวต่างชาติที่อาศัยในบรูไน รวมทั้งชักจูงชาวบรูไนให้เข้าร่วมกับกลุ่มก่อการร้ายนอกจากนี้ บรูไนเป็นเส้นทางผ่านของขบวนการค้ามนุษย์ เพื่อการบังคับใช้แรงงานและการค้าประเวณี โดยเหยื่อการค้ามนุษย์ส่วนใหญ่เป็นชาวอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ปากีสถาน อินเดีย บังกลาเทศ จีน และไทย บรูไนยังมีปัญหาการอ้างกรรมสิทธิ์ทับซ้อนกับจีนในทะเลจีนใต้ ทำให้มีแนวโน้มว่า บรูไนจะพยายามพัฒนาศักยภาพกองทัพทั้งยุทโธปกรณ์และการฝึกอบรมบุคลากร โดยส่งเสริมความร่วมมือด้านการทหารกับอาเซียนและประเทศมหาอำนาจ
สมาชิกองค์การระหว่างประเทศที่สำคัญ ได้แก่ APEC, ARF, ASEAN, G-77, ILO, IMF, INTERPOL, OIC, UN, UNCTAD, UNESCO, WHO และ WTO
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี บรูไนมุ่งวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล การแปรรูปอาหาร และอุตสาหกรรมเวชภัณฑ์ ตามแผนพัฒนาแห่งชาติฉบับที่ 11 (ปี 2561-2566)ขณะเดียวกัน บรูไนมีแผนพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้สอดคล้องการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจโลก โดยได้เริ่มทดลองนำเทคโนโลยี 5G มาใช้ในประเทศเมื่อ เม.ย. 2565 เพื่อผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยี 5G ตามเป้าหมายวิสัยทัศน์บรูไนปี 2578 อีกทั้งยังอยู่ระหว่างจัดทำแผนแม่บทเศรษฐกิจดิจิทัล และแผนพัฒนาให้เป็นประเทศอัจฉริยะ (Smart Nation Roadmap)
การขนส่งและโทรคมนาคม มีท่าอากาศยาน 2 แห่ง คือ ท่าอากาศยานนานาชาติบรูไน และท่าอากาศยาน Anduki ซึ่งใช้ในกิจการของบริษัท Brunei Shell Petroleum (BSP) อยู่ที่เขตเบเลต เส้นทางรถไฟระยะทาง 13 กม. ถนนระยะทาง 3,787 กม. ท่าเรือเพื่อการสัญจร 5 แห่ง ได้แก่ บันดาร์เสรีเบกาวัน กัวลา เบเลต มูอาราเซรีอา และตูตง ท่าเรือเพื่อขนส่งสินค้า 1 แห่งคือ ท่าเรือที่มูอารา
โทรคมนาคม โทรศัพท์พื้นฐานให้บริการ103,885 เลขหมาย (ปี 2563) โทรศัพท์เคลื่อนที่526,589 เลขหมาย (ปี 2563) รหัสโทรศัพท์ +673 จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 442,200 คน (ปี 2565) รหัสอินเทอร์เน็ต .bn เว็บไซต์การท่องเที่ยว : http://www.bruneitourism.com/
การเดินทาง สายการบิน Royal Brunei Airlines มีบริการเที่ยวบินตรง กรุงเทพฯ–บันดาร์เสรีเบกาวัน (ประมาณ 1,690 กม.) ระยะเวลาบิน 2 ชม. 45 นาที เวลาที่บรูไนเร็วกว่าไทย 1 ชม. นักท่องเที่ยวไทยเดินทาง เข้าบรูไนโดยไม่ต้องตรวจลงตราหนังสือเดินทาง
ความสัมพันธ์ไทย-บรูไน
ไทยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับบรูไนเมื่อ 1 ม.ค.2527 ซึ่งจะครบรอบ 40 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตในปี 2567 มีการแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับราชวงศ์และผู้นำระดับสูงอยู่เสมอ เป็นพันธมิตรในเรื่องต่าง ๆ ทั้งในกรอบอาเซียน และกรอบพหุภาคี การเยือนระดับผู้นำครั้งล่าสุด นายเศรษฐา ทวีสิน นรม.เยือนบรูไนอย่างเป็นทางการเมื่อ 10 ต.ค.2566 โดยเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไน ทั้งสองฝ่ายหารือเรื่องการใช้กลไกทวิภาคีเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์และความร่วมมือ โดยเชิญชวนให้บรูไนขยายการลงทุนในไทย โดยเฉพาะด้านการบริการ การท่องเที่ยว และโครงสร้างพื้นฐาน ขณะที่ไทยต้องการเป็นหุ้นส่วนระยะยาวด้านความมั่นคงทางอาหารให้แก่บรูไน
ด้านเศรษฐกิจ บรูไนเป็นคู่ค้าอันดับที่ 54ของไทย และเป็นคู่ค้าอันดับที่ 9 ของไทยในกลุ่มอาเซียน การค้าปี 2565 มีมูลค่า 27,351ล้านบาท ไทยขาดดุลการค้า 22,191 ล้านบาท ไทยส่งออก 2,580 ล้านบาท และนำเข้า 24,771ล้านบาท ในห้วง 9 เดือนแรกของปี 2566 (ม.ค.-ก.ย.2566) มูลค่าการค้ารวม 16,608 ล้านบาทไทยส่งออก 2,190 ล้านบาท และนำเข้า 14,418ล้านบาท
สินค้าส่งออกสำคัญของไทย : รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ อาหารสัตว์เลี้ยง ข้าว น้ำตาลทราย อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผลิตภัณฑ์ยาง
สินค้านำเข้าจากบรูไน : ก๊าซธรรมชาติ น้ำมันดิบ ปุ๋ย และยากำจัดศัตรูพืชและสัตว์เคมีภัณฑ์ เหล็ก เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์ผลิตภัณฑ์โลหะ
ข้อตกลงสำคัญ : ความตกลงบริการเดินอากาศ (13 ม.ค.2530) บันทึกความเข้าใจการจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมทวิภาคีไทย-บรูไน (27 ก.ย.2542) บันทึกความเข้าใจความร่วมมือด้านสารสนเทศและการกระจายเสียงไทย-บรูไน (16 ส.ค.2544) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการศึกษาระหว่างไทย-บรูไน (19 ต.ค.2552) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตรและการผลิตอาหารฮาลาลไทย-บรูไน (25 มี.ค.2558) และบันทึกความเข้าใจด้านความร่วมมือทางสาธารณสุข (1 ก.ย.2559)
สถานการณ์สำคัญที่น่าติดตาม
1)การยกระดับมาตรการการป้องกันภัยคุกคามความมั่นคงทางทะเล การก่อการร้ายและความมั่นคงทางไซเบอร์
2)ความเคลื่อนไหวของบรูไนกรณีปัญหาขัดแย้งในทะเลจีนใต้ และการดำเนินความสัมพันธ์กับจีน
3)การแข่งขันอิทธิพลของมหาอำนาจในบรูไน
4)ปัญหาผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่นในบรูไน ซึ่งมีอยู่ประมาณ 20,000 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวจีนที่ลี้ภัยมาอยู่ในบรูไนมานานหลายชั่วอายุคน ทั้งนี้ บรูไนยังไม่อนุมัติการให้สัญชาติแก่กลุ่มดังกล่าว โดยอ้างว่า ต้องการให้บุคคลเหล่านั้นผ่านการทดสอบเกี่ยวกับวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม และภาษา