สาธารณรัฐฝรั่งเศส
French Republic
สาธารณรัฐฝรั่งเศส
French Republic
เมืองหลวง ปารีส
ที่ตั้ง ทางตะวันตกของทวีปยุโรป ติดทะเล 2 ด้าน คือด้านตะวันตกติดกับอ่าวบิสเคย์และช่องแคบอังกฤษ ด้านใต้ติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โดยอยู่ระหว่างอิตาลีและสเปน ถูกขนานนามตามรูปทรงของประเทศว่าแผ่นดินหกเหลี่ยม มีพื้นที่ 643,801 ตร.กม. (รวมดินแดนโพ้นทะเล) เฉพาะในยุโรป 551,500 ตร.กม. (ขนาดใกล้เคียงกับไทยแต่ใหญ่กว่าเล็กน้อย) ขนาดใหญ่อันดับที่ 44 ของโลกและมีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรปตะวันตก (มีพื้นที่หนึ่งในห้าของประเทศในสหภาพยุโรป)
อาณาเขต
ทิศเหนือ ติดกับช่องแคบอังกฤษ เบลเยียม และลักเซมเบิร์ก
ทิศตะวันออก ติดกับเยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และอิตาลี
ทิศตะวันตก ติดกับมหาสมุทรแอตแลนติก
ทิศใต้ ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อันดอร์รา และสเปน
ภูมิประเทศ ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ราบทางเหนือและตะวันตกเป็นเนินเขา ส่วนที่เหลือเป็นเทือกเขาสูง คือเทือกเขาพีเรนีสทางใต้และเทือกเขาแอลป์ทางตะวันออก มีจุดสูงสุดในทวีปยุโรปตะวันตก คือ ยอดเขามงบล็อง (Mont Blanc) บนเทือกเขาแอลป์บริเวณชายแดนฝรั่งเศส และอิตาลี
ภูมิอากาศ โดยทั่วไปอากาศเย็นในฤดูหนาว และอบอุ่นในฤดูร้อน บริเวณทางใต้ติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมีอากาศอบอุ่นกว่า บางครั้งอากาศหนาวแห้งด้วยอิทธิพลของลมเหนือ (Mistral) ที่พัดจากทางเหนือสู่ทางใต้
วันชาติ 14 ก.ค. (ปี 2333) Fete de la Federation หรือ Bastille Day
นายเอ็มมานูเอล มาครง
Emmanuel Jean-Michel Frédéric Macron
(ประธานาธิบดีฝรั่งเศส)
ประชากร 68,084,217 ล้านคน (ก.ค.2564)
รายละเอียดประชากร
วัยเด็ก (0-14 ปี) 18.36% วัยรุ่นถึงวัยกลางคน (15-64 ปี) 61.18% และวัยชรา (65 ปีขึ้นไป) 20.46% อายุขัยเฉลี่ย 82.39 ปี เพศชาย 79.31 ปี เพศหญิง 85.61 ปี อัตราการเกิด 11.77 คนต่อประชากร 1,000 คนอัตราการตาย 9.58 คนต่อประชากร 1,000 คน
บทบัญญัติรัฐธรรมนูญฝรั่งเศสไม่ให้มีการจัดรวบรวมข้อมูลประชาชนด้วยการแบ่งแยกเชื้อชาติและสีผิว กลุ่มเชื้อชาติต่าง ๆ ทำให้ไม่ได้มีการสำรวจตัวเลขดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ชาวฝรั่งเศสประกอบด้วย คนหลากหลายชาติพันธุ์ เนื่องจากประวัติศาสตร์และการอพยพจากประเทศอาณานิคม เช่น ชาวเคลต์สลาฟแอฟริกาเหนือ อินโดจีน ชนกลุ่มน้อยบาสก์ ลาติน ส่วนอาณาเขตโพ้นทะเลของฝรั่งเศสเป็นคนผิวดำ ผิวขาวลูกครึ่งระหว่างผิวขาวกับผิวดำ (Mulatto) อินเดีย จีน
การเมือง ปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบกึ่งประธานาธิบดีโดยประธานาธิบดีเป็นประมุขและหัวหน้าฝ่ายบริหาร ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยตรงโดยใช้ระบบเสียงข้างมากแบบเด็ดขาด (คะแนนเสียงข้างมากเกินกว่า 50%) หากการเลือกตั้งรอบแรกไม่มีผู้ใดได้เสียงข้างมากเด็ดขาดก็นำผู้สมัครที่ได้ลำดับ 1 และ 2 มาเลือกตั้งในรอบที่สอง มีวาระดำรงตำแหน่ง 5 ปี อยู่ในตำแหน่งได้ไม่เกิน 2 สมัย ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน คือ นายเอ็มมานูเอล มาครง ดำรงตำแหน่งเมื่อ 14 พ.ค.2560 กำหนดการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งต่อไปในปี 2565
ฝ่ายบริหาร : ประธานาธิบดีแต่งตั้ง นรม. และ ครม. โดยต้องมีเสียงรับรองจากรัฐสภา นรม.มีบทบาทเป็นหัวหน้ารัฐบาล นรม.คนปัจจุบัน คือ นาย Jean Castex (ดำรงตำแหน่ง 3 ก.ค.2563)
ฝ่ายนิติบัญญัติ : เป็นระบบ 2 สภา ได้แก่ 1) วุฒิสภาสมาชิก 348 คนมาจากการเลือกตั้งทางอ้อมโดยคณะบุคคลที่เป็นตัวแทนของเขตเลือกตั้งทั่วประเทศมณฑลโพ้นทะเลและชุมชนฝรั่งเศสในต่างประเทศ มีวาระ 6 ปี โดยจัดให้มีการเลือกตั้งกึ่งหนึ่งทุก 3 ปี และ 2) สภาผู้แทนราษฎรสมาชิก 577 คนมาจากการเลือกตั้งโดยตรงวาระ 5 ปี การเลือกตั้งครั้งล่าสุดเมื่อ 11 และ 18 มิ.ย.2560 พรรค La République En Marche! หรือ Republic on the Move (REM) ที่ก่อตั้งโดยประธานาธิบดีมาครงและพรรคพันธมิตร ครองเสียง ข้างมากโดยได้ที่นั่ง 350 ที่นั่ง ส่วนการเลือกตั้งครั้งต่อไปจะจัดใน มิ.ย.2565
วุฒิสภามีอำนาจค่อนข้างจำกัด กรณีที่ทั้งสองสภาไม่สามารถตกลงกันได้สภาผู้แทนราษฎร มีอำนาจชี้ขาดและมีอำนาจในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ครม. โดยปกติสภาผู้แทนราษฎรเป็นเสียงของรัฐบาลและสามารถกำหนดการตัดสินใจของรัฐบาลได้
ฝ่ายตุลาการ : ประกอบด้วย 1) ศาลฎีกา (Supreme Court of Appeals or Cour de Cassation)คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีโดยคณะกรรมการตุลาการ (ConseilSuperieurede la Magistraure) เป็นผู้เสนอรายชื่อ 2) ศาลรัฐธรรมนูญ (Constitutional Council or Conseil Constitutionnel) ประกอบด้วยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 9 คนได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภาท่านละ 3 คน และ 3) ศาลทั่วไป (Council of State or Conseild’Etat)
การแบ่งเขตการปกครองประกอบด้วย 13 แคว้น (Région) กับ 96 จังหวัด (Département) ส่วนดินแดนโพ้นทะเลมีจำนวน 5 แคว้น ได้แก่ แคว้น Guadeloupe และแคว้น Martinique ในทะเลแคริบเบียนมหาสมุทรแอตแลนติกภูมิภาคอเมริกากลางแคว้น Guyane หรือ French Guiana มหาสมุทรแอตแลนติกภูมิภาคอเมริกาใต้ แคว้น Mayotte และแคว้น Réunionในมหาสมุทรอินเดียภูมิภาคแอฟริกาใต้กับอีก 5 จังหวัด (แคว้นละ 1 จังหวัด) นอกจากนี้ ฝรั่งเศสยังมีดินแดนโพ้นทะเลในรูปแบบอื่น ๆ เช่นเขตปกครองโพ้นทะเล (Collectivitésd’outre-mer-COM) ได้แก่ French Polynesia, St Pierre and Miquelon, Wallis and Futuna, Saint Martin และ Saint Bartelemy ดินแดนที่มีสถานะเป็นอาณานิคมพิเศษ (Collectivité sui generis) ได้แก่ Nouvelle Calédonie (มีสถานะเป็นชุมชน) Clipperton และ French Southern and Antarctic Territories
พรรคการเมืองสำคัญ ได้แก่ 1) พรรค La République En Marche! หรือ Republic on the Move (REM) กลุ่มแนวคิดการเมืองสายกลางก่อตั้งโดยประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครงเป็นแกนนำรัฐบาลปัจจุบัน 2) พรรค Democratic Movement หรือ MoDEM พรรคการเมืองสายกลางและเป็นพันธมิตรกับพรรค REM 3) พรรค Les Republicainsหรือ Republican แนวคิดการเมืองขวากลางและ 4) พรรค National Rally แนวขวาจัด
กลุ่มกดดันทางการเมืองได้แก่กลุ่มสหภาพแรงงานต่าง ๆ ได้แก่ CFDT (สหภาพแรงงานที่มีแนวคิดซ้ายมีสมาชิกประมาณ 875,000 คน) CFE-CGC (สหภาพสำหรับผู้ทำงานในสำนักงาน/บริษัทมีสมาชิกประมาณ 140,000 คน) CFTC (สหภาพแรงงานเอกชนก่อตั้งโดยกลุ่มคนงานที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกมีสมาชิกประมาณ 142,000 คน) CGT (สหภาพแรงงานเก่าแก่ มีแนวคิดคอมมิวนิสต์ มีสมาชิกประมาณ 710,000 คน) FO (สหภาพแรงงานภาคเอกชนมีสมาชิกประมาณ 300,000 คน) และ MEDEF (แนวร่วมรัฐวิสาหกิจของฝรั่งเศสมีสมาชิกประมาณ 750,000 คน) นอกจากนี้ยังมีสหภาพแรงงานในดินแดนโพ้นทะเลของฝรั่งเศสด้วย
เศรษฐกิจ มีขนาดเศรษฐกิจปี 2564 ใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลก รองจากสหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น เยอรมนี อังกฤษและอินเดีย และอันดับ 3 ในยุโรป รองจากเยอรมนี และสหราชอาณาจักร
ผลผลิตการเกษตร : ข้าวสาลี ธัญพืช มันฝรั่ง องุ่นที่ใช้ในการผลิตไวน์ หัวบีทที่ใช้ทำน้ำตาล (sugarbeets) เนื้อวัว และผลผลิตประมง
อุตสาหกรรมหลัก : เครื่องจักรกล เคมี รถยนต์ โลหะภัณฑ์ เครื่องบิน เครื่องใช้ไฟฟ้า สิ่งทอ กระบวนการผลิตอาหาร การท่องเที่ยว
สกุลเงิน ตัวย่อสกุลเงิน : ยูโร (EUR)
อัตราแลกเปลี่ยนต่อดอลลาร์สหรัฐ : 1 ยูโร : 1.16 ดอลลาร์สหรัฐ
อัตราแลกเปลี่ยนต่อบาท : 1 ยูโร : 38.87 บาท (ต.ค.2564)
ดัชนีเศรษฐกิจสำคัญ (ปี 2563)
ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) : 2,603,004 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
อัตราความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ : -8.1%
รายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปี : 38,625 ดอลลาร์สหรัฐ
แรงงาน : 30.03 ล้านคน
อัตราการว่างงาน : 8.6%
อัตราเงินเฟ้อ : 0.5%
ดุลบัญชีเดินสะพัด : ขาดดุล 48,911 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
มูลค่าการส่งออก : 488,345 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สินค้าส่งออก : เครื่องบิน (แอร์บัส) เครื่องร่อน อุปกรณ์การบินและส่วนประกอบ สบู่ ผงซักฟอกและเครื่องสำอาง เครื่องจักรกล ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรไฟฟ้า เครื่องดื่มประเภทน้ำแร่ น้ำอัดลมและสุรา อุปกรณ์ยานยนต์ เครื่องใช้เบ็ดเตล็ด เครื่องมือเครื่องใช้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และการแพทย์
มูลค่าการนำเข้า : 582,351 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สินค้านำเข้า : อากาศยาน เครื่องปรับอากาศ เครื่องคอมพิวเตอร์ อัญมณีและเครื่องประดับ เลนส์แว่นตา ผลิตภัณฑ์ยาง ยางพารา รถยนต์และส่วนประกอบ เครื่องนุ่งห่ม เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ
คู่ค้าสำคัญ : เยอรมนี สหรัฐฯ สเปน อิตาลี เบลเยียม สหราชอาณาจักร จีน
การทหาร มีความสำคัญในฐานะ 1 ใน 5 ประเทศสมาชิกถาวรของ UNSC และครอบครองอาวุธนิวเคลียร์มากเป็นอันดับ 3 ของโลก (รองจากสหรัฐฯ และรัสเซีย) กองทัพติดตั้งยุทโธปกรณ์ก้าวหน้าทันสมัยติดอันดับของโลก
กองทัพฝรั่งเศสแบ่งออกเป็น 4 เหล่า ได้แก่ ทบ. ทร. ทอ. และ กกล.สารวัตรทหาร ซึ่งประกอบด้วย กกล.ตำรวจแห่งชาติ (National Gendarmerie) ปฏิบัติหน้าที่เป็นทหารประจำการในพื้นที่ชนบทและเป็นเสมือนสารวัตรทหารของกองทัพฝรั่งเศส
ระบบการเกณฑ์ทหารเป็นไปโดยสมัครใจสำหรับทั้งบุรุษและสตรีที่มีอายุ 18-25 ปี ไม่มีระบบการบังคับเกณฑ์ทหารแต่มีข้อผูกพันต้องประจำการในกองทัพ 12 เดือน โดยสตรีปฏิบัติงานในหน่วยที่ไม่ใช่หน่วยปฏิบัติการ
มีกำลังพลประจำการรวม 203,250 นาย (แยกเป็น ทบ. 114,700 นาย ทร.34,700 นาย ทอ. 40,450 นาย จนท.อื่น ๆ 13,400 นาย และ กกล.สารวัตรทหารที่ประจำการ 100,500 นาย) นอกจากนี้ ยังมี กกล.สำรอง 41,050 นาย (แยกเป็น ทบ. 24,900 นาย ทร. 6,250 นาย ทอ. 5,750 นาย จนท.อื่น ๆ 4,150 นาย และ กกล.สารวัตรทหารสำรอง 30,300 นาย) งบประมาณทางทหาร 2.1% ของ GDP
ปัญหาด้านความมั่นคง
1) การก่อการร้าย ฝรั่งเศสยังเผชิญภัยคุกคามจากการก่อการร้าย โดยเฉพาะกลุ่มมุสลิม หัวรุนแรง ทั้งนี้ ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง และรัฐบาลฝรั่งเศสมีทิศทางการดำเนินนโยบายต่อมุสลิมที่เข้มงวดมากขึ้น อาทิ วุฒิสภาฝรั่งเศสมีมติเมื่อ 30 มิ.ย.2564 รับรองร่างกฎหมายต่อต้านการก่อการร้าย ที่เพิ่มความเข้มงวดมาตรการต่อต้านการก่อการร้าย จำกัดการเข้าถึงเอกสารทางราชการที่มีชั้นความลับ ให้อำนาจรัฐบาลในการสั่งปิดศาสนสถาน เข้าถึงและวิเคราะห์อัลกอริทึมในอินเทอร์เน็ต รวมถึงเข้าถึงข้อมูลลูกค้าของ ผู้ให้บริการโทรคมนาคม ส่งผลให้ร่างกฎหมายดังกล่าวถูกวิจารณ์ว่าละเมิดเสรีภาพของประชาชน
2) ความเสี่ยงการก่อเหตุจากกลุ่มขวาจัด ทางการเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่ม ขวาจัด ที่มีแนวคิดต่อต้านและต้องการขับไล่ชาวมุสลิมและผู้อพยพชาวต่างชาติออกจากยุโรป โดยอาจดำเนินมาตรการต่อกลุ่มขวาจัด หากพบหลักฐานการละเมิดกฎหมายและบ่อนทำลายเอกภาพของรัฐ อนึ่ง ฝรั่งเศสมีรายงานการก่อเหตุมุ่งเป้าทำร้ายชาวมุสลิมเมื่อห้วงปี 2563 จำนวน 235 ครั้ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 53 จากเมื่อปี 2562 ซึ่งมีจำนวนการก่อเหตุ 154 ครั้ง
ความสัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศส
ฝรั่งเศสกับไทยมีความสัมพันธ์กันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชและพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ไทยและฝรั่งเศสสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อ 15 ส.ค.2399 โดยลงนามในสนธิสัญญาทางไมตรีการพาณิชย์และการเดินเรือ (Treaty of Friendship, Commerce and Navigation) ปี 2432 ไทยตั้งสำนักงานและแต่งตั้งอัครราชทูตประจำปารีสและยกฐานะขึ้นเป็น สอท. เมื่อปี 2492
ด้านการเมือง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม.นำคณะรัฐมนตรีและนักธุรกิจชั้นนำเยือนฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการระหว่าง 22-26 มิ.ย.2561 จากนั้น พล.อ. ประยุทธ์ เยือนฝรั่งเศสอีกครั้งในปีเดียวกัน เมื่อ 11-12 พ.ย.2561 เพื่อเข้าร่วมพิธีวันรำลึกการครบรอบ 100 ปี การยุติสงครามโลกครั้งที่ 1 และพิธีเปิดการประชุม Paris Peace Forum
ความสัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศส ยกระดับเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกัน โดยไทยและฝรั่งเศสเคยจัดทำแผนปฏิบัติการร่วม (Joint Plan of Action) มาแล้ว 2 ฉบับ ฉบับที่ 1 ระหว่างปี 2547-2551 และฉบับที่ 2 ระหว่างปี 2553-2557 เป็นกรอบที่ต่อยอดความร่วมมือในสาขาที่สองประเทศมีผลประโยชน์ร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรมซึ่งวางรากฐานความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างสองประเทศให้ครอบคลุมเกือบทุกมิติ (Comprehensive partnership) โดยทั้งสองฝ่ายตระหนักถึงความจำเป็นต้องทบทวนความสัมพันธ์และความร่วมมือให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของโลกที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน เพื่อกำหนดทิศทางที่เหมาะสมในอนาคต
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายอยู่ระหว่างดำเนินการแผนจัดทำร่าง Roadmap ไทย-ฝรั่งเศส ที่มุ่งรักษาความสัมพันธ์ทวิภาคี ภูมิภาค และพหุภาคีในทุกมิติ โดยเน้นความเป็นรูปธรรมและเห็นผล (results-oriented) เพื่อนำไปสู่การยกระดับความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ (strategic partnership) โดย Roadmap จะวางแนวทางการขับเคลื่อนความสัมพันธ์และความเป็นหุ้นส่วนใน 3 เสาหลัก บนพื้นฐานของความมั่นคง ความมั่งคั่ง และยั่งยืน ได้แก่ 1) หุ้นส่วนด้านการเมืองและความมั่นคง (Political and Security Partnership) 2) หุ้นส่วนด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน (Economic Partnership) และ 3) หุ้นส่วนระดับประชาชน (People’s Partnership)/หุ้นส่วนในสาขาที่มีประโยชน์ร่วมกัน (Sectoral Partnership)
ด้านเศรษฐกิจ เมื่อปี 2563 ฝรั่งเศสเป็นคู่ค้าอันดับ 23 ของไทย และอันดับ 4 ใน EU มูลค่าการค้า 119,240.15 ล้านบาท ไทยส่งออก 48,944.29 ล้านบาท และนำเข้า 70,295.86 ล้านบาท ไทยเสียเปรียบดุลการค้า 21,351.57 ล้านบาท สินค้าส่งออกสำคัญของไทย ได้แก่ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เลนซ์ อัญมณีและเครื่องประดับ สินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ เครื่องบิน เครื่องร่อน อุปกรณ์การบินและส่วนประกอบ สบู่ ผงซักฟอกและเครื่องสำอาง เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม เคมีภัณฑ์
ด้านการลงทุน เมื่อปี 2563 ฝรั่งเศสได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในไทยจำนวน 15 โครงการมูลค่า 234 ล้านบาท
ด้านการท่องเที่ยว เมื่อปี 2563 นักท่องเที่ยวฝรั่งเศสเดินทางมาไทย 236,527 คน ลดลงจาก745,318 คน เมื่อปี 2562
จำนวนคนไทยในฝรั่งเศสเมื่อปี 2562 มีประมาณ 36,480 คน
ข้อตกลงสำคัญ : ความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการเก็บภาษีซ้อน (27 ธ.ค.2517) หนังสือแลกเปลี่ยนว่าด้วยบริการเดินอากาศ (7 เม.ย.2518) ซึ่งมีการทบทวนเป็นระยะ ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมการศึกษาและวิทยาศาสตร์ (16 ก.ย.2520) ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการ (16 ก.ย.2520) อนุสัญญาความร่วมมือในการปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลในคดีอาญา (โอนตัวนักโทษ) (26 มี.ค.2526) ความตกลงสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้องระหว่างจังหวัดภูเก็ตกับเมืองนีซ (13 ธ.ค.2532) คณะทำงานร่วมทางการค้าไทย-ฝรั่งเศส (17 ก.พ.2538) อนุสัญญาว่าด้วยความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องทางอาญาไทย-ฝรั่งเศส (11 ก.ย.2540) บันทึกความเข้าใจในการก่อตั้ง French-Thai Business Council (14 พ.ย.2540) ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือระหว่างไทย-ฝรั่งเศสด้านไปรษณีย์และโทรคมนาคม (30 พ.ย.2541) ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติ (28 มิ.ย.2541) ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านอุดมศึกษาและการวิจัยไทย-ฝรั่งเศส (23 เม.ย.2542) ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสเกี่ยวกับความร่วมมือทางด้านเทคโนโลยีอวกาศและการประยุกต์ใช้ (27 ม.ค.2543) ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการส่งกำลังบำรุงทางทหารระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลสาธารณรัฐฝรั่งเศส (26 เม.ย.2543) บันทึกความเข้าใจระหว่าง BOI กับหน่วยงานส่งเสริมการลงทุนของฝรั่งเศส (UBIFRANCE) (18 ก.พ.2549) ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านไปรษณีย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารไทย-ฝรั่งเศส (18 ก.พ.2549) ความตกลงจัดตั้งสำนักงานเพื่อการพัฒนาในประเทศไทย (18 ก.พ.2549) ความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับการพำนักระยะสั้นแก่ผู้ถือหนังสือเดินทางทูต (21 มิ.ย.2553) ข้อตกลงการหารือของเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านเศรษฐกิจระหว่างไทยกับฝรั่งเศสปี 2553-2557 (19 ต.ค.2553) ความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศ ความตกลงด้านการศึกษา บันทึกความร่วมมือด้านสาธารณสุข ความตกลงด้านความเป็นหุ้นส่วนระหว่างฝรั่งเศสกับอาเซียน (ก.พ.2556) อนุสัญญาว่าด้วยความร่วมมือระบบรางระหว่างไทย-ฝรั่งเศส (18 มิ.ย.2556)บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการด้านยาสัตว์ (11 ก.ย.2558) บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ทางวิชาการด้านยางพารา ฉบับที่ 3 (19 ม.ค.2560) ความตกลงสัญญาดาวเทียม THEOS 2 ระหว่างสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิศาสตร์สารสนเทศ (GISTDA) กับบริษัท Airbus Defense & Space (15 มิ.ย.2561)
สถานการณ์สำคัญที่น่าติดตาม
1) ฝรั่งเศสจะจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งต่อไปในปี 2565 โดยกำหนดการเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบแรกใน 10 เม.ย.2565 ซึ่งหากในรอบแรกไม่มีผู้สมัครคนใดได้คะแนนเสียงข้างมาก ก็จะจัดการลงคะแนนรอบสองใน 24 เม.ย.2565 ทั้งนี้ ประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง คนปัจจุบันยังไม่ระบุว่าจะลงแข่งขันรับเลือกตั้งอีกสมัยหรือไม่ ขณะที่นาง Marine Le Pen หัวหน้าพรรค Nationa Rally (RN) แนวคิดขวาจัด ระบุว่าจะลงสมัครรับเลือกตั้งดังกล่าว และจะผลักดันนโยบายควบคุมผู้อพยพให้เข้มงวดขึ้น และเน้นให้สิทธิแก่พลเมืองฝรั่งเศสเป็นอันดับแรกในการเข้าถึงสวัสดิการสังคมด้านต่าง ๆ
2) แนวทางการผ่อนปรนมาตรการควบคุมโรค การเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว และการฟื้นฟูเศรษฐกิจหากสถานการณ์วิกฤตโรค COVID-19 เริ่มผ่อนคลายลง รวมถึงความร่วมมือของฝรั่งเศสกับเยอรมนี ในฐานะกลุ่มประเทศแกนนำสำคัญของภูมิภาคในการขับเคลื่อนบทบาทของ EU ด้านต่าง ๆ อาทิ การสนับสนุนกองทุนฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโรค COVID-19
3) การฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างฝรั่งเศสกับต่างประเทศ จากกรณีการจัดตั้งกลุ่มพันธมิตร AUKUS (ประกอบด้วยออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ) โดยฝรั่งเศสยังคงไม่พอใจออสเตรเลียที่ยกเลิกสัญญาโครงการเรือดำน้ำกับฝรั่งเศส มูลค่า 65,636 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ฝรั่งเศสประกาศยกเลิกการหารือทวิภาคีระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมฝรั่งเศส-สหราชอาณาจักร เมื่อห้วง ก.ย.2564 และเรียกตัวเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำกรุงแคนเบอร์ราและกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. กลับประเทศชั่วคราวด้วย และต่อมาฝรั่งเศสส่งตัวเอกอัครราชทูตทั้งสองคนกลับไปประจำการตามเดิม