ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ส่งผลให้บริษัทผู้ผลิตยาต่างเร่งพัฒนาวัคซีนให้มีประสิทธิภาพ และเร่งผลิตวัคซีนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
ความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจของโลก โดยเฉพาะสหรัฐฯ กับรัสเซีย มักส่งผลต่อการดำเนินความสัมพันธ์ของหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในประเด็นการแข่งขันทางการทหารและการรักษาผลประโยชน์
สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในเมียนมาซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกอาเซียน ย่อมจะส่งผลต่ออาเซียนในภาพรวม เฉพาะอย่างยิ่ง
หลังจากรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเมื่อ 20 ม.ค.64 ประธานาธิบดีโจเซฟ ไบเดน วัย 78 ปี นักการเมืองชาวเพนซิลเวเนีย สังกัดพรรคเดโมแครต
นอกจากการก้าวเข้าครองทำเนียบขาวของครอบครัวนายโจเซฟ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่แล้ว เรื่องที่มีกลุ่มชาวอเมริกันเชื้อสายอินเดีย
ปัญหาขัดแย้งสรัฐฯ-อิหร่าน กรณีการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน ในสมัยรัฐบาลใหม่สหรัฐฯ ยังไม่มีแนวโน้มคลี่คลาย โดยประธานาธิบดีโจเซฟ ไบเดน
ลาวเผชิญปัญหาหนี้สูง และการขาดดุลงบประมาณในระยะหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลจึงพยายามปฏิรูปการลงทุนภาครัฐ ซึ่งนายทองลุน สีสุลิด
ประเด็นหนังสือรับรองการฉีดวัคซีนเป็นที่ถกเถียงในวงกว้างในยุโรป เนื่องจากบางประเทศ เช่น กรีซ เตรียมยกเลิกการกักตัวผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ
การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและยึดอำนาจของกองทัพเมียนมา ทำให้สหรัฐฯ เพิกเฉยไม่ได้ โดยกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ จัดการบรรยาย
การแข่งขันกันพัฒนาและผลิตวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 ยังเป็นไปอย่างเข้มข้น เพราะวัคซีนดังกล่าวจะกลายเป็น “อาวุธ” สำคัญยิ่งในการสร้างอำนาจ