เมืองหลวง เปียงยาง
ที่ตั้ง ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ บนภาคเหนือของคาบสมุทรเกาหลี ระหว่างเส้นละติจูดที่ 38-43 องศาเหนือ เส้นลองจิจูดที่ 125-130 องศาตะวันออก พื้นที่ 120,538 ตร.กม. คิดเป็น 55% ของพื้นที่คาบสมุทรเกาหลี มีขนาดใหญ่เป็นลำดับที่ 98 ของโลก มีพรมแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านยาว 1,973 กม. และแนวชายฝั่งทะเลยาว 2,495 กม. เวลาเกาหลีเหนือเร็วกว่าไทย 2 ชม.
อาณาเขต
ทิศเหนือ ติดกับจีนและภาคตะวันออกไกลของรัสเซีย
ทิศตะวันออก ติดกับทะเลญี่ปุ่น (ทะเลตะวันออก)
ทิศใต้ ติดกับเกาหลีใต้โดยมีเส้นขนานที่ 38 และเขตปลอดทหาร
(Demilitarized Zone) ความกว้าง 4 กม. (ฝ่ายละ 2 กม.)
เป็นเส้นแบ่งเขตแดน
ทิศตะวันตก ติดกับจีนและทะเลเหลือง (ทะเลตะวันตก)
ภูมิประเทศ ส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน มีที่ราบและพื้นที่เหมาะแก่การเพาะปลูก 17% ของพื้นที่ทั้งหมด (ที่มา: องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ) ตอนกลางของประเทศมีเทือกเขาใหญ่ ยอดที่สูงที่สุดคือยอดเขาแพ็กตู สูง 2,744 ม. จากระดับน้ำทะเล ทางตะวันออกและตะวันออกเฉียงเหนือมีเทือกเขาตาแบ็กทอดเป็นแนวยาว การที่เกาหลีเหนือมีแนวเทือกเขาที่เป็นเสมือนกระดูกสันหลังและลาดเอียงไปทางตะวันตกทำให้บริเวณชายทะเลตะวันตกเป็นที่ราบแคบ ๆ มีแม่น้ำสายสั้น ๆ และไหลเชี่ยว แม่น้ำที่มีความยาวที่สุด คือ แม่น้ำอัมนก (790 กม.) เป็นที่ตั้งเขื่อนผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่สุด ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับจีน แม่น้ำเทดองเป็นแม่น้ำที่มีสาขาคลุมบริเวณกว้างที่สุดจากตอนกลางของประเทศออกสู่ทะเลเหลือง
วันชาติ 9 ก.ย.
นายคิม จ็อง–อึน
Kim Jong – un
(ผู้นำสูงสุด)
ประชากร 25,831,360 คน (ปี 2564) มากเป็นลำดับที่ 54 ของโลก ส่วนใหญ่เป็นชาวเกาหลี มีชุมชนชาวจีนและชาวเกาหลีเชื้อสายญี่ปุ่นเล็กน้อย อัตราส่วนประชากรจำแนกตามอายุ : วัยเด็ก (0-14 ปี) 20.33%วัยรุ่นถึงวัยกลางคน (15-64 ปี) 69.93% วัยชรา (65 ปีขึ้นไป) 9.75% อายุขัยเฉลี่ยของประชากรโดยรวมประมาณ 71.65 ปี เพศชายประมาณ 67.79 ปี เพศหญิงประมาณ 75.74 ปี อัตราการเกิด 14.35 คน
ต่อประชากร 1,000 คน อัตราการตาย 9.39 คน ต่อประชากร 1,000 คน อัตราการเพิ่มของประชากร 0.49%
การก่อตั้งประเทศ ภายหลังคาบสมุทรเกาหลีได้รับอิสรภาพจากการยึดครองของญี่ปุ่น เกิดการแย่งชิงอิทธิพลทางการเมืองของกลุ่มฝ่ายซ้ายและเสรีนิยมในช่วงการจัดรูปแบบการปกครองประเทศเกาหลีใหม่ ขณะที่สหรัฐฯ เข้าครอบครองดินแดนตอนใต้ ส่วนอดีตสหภาพโซเวียตเข้าครอบครองดินแดนตอนเหนือ ทำให้คาบสมุทรเกาหลีถูกแบ่งแยกออกเป็น 2 ส่วน ต่อมาสหประชาชาติจัดการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นเมื่อ พ.ค.2491 โดย ผู้แทนเกาหลีฝ่ายอนุรักษ์นิยมขวาจัดไม่ยอมรับรัฐธรรมนูญแบบประชาธิปไตยที่ร่างไว้และชิงประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐเกาหลี หรือ เกาหลีใต้ ก่อนเมื่อ 15 ส.ค.2491 ส่วนผู้แทนฝ่ายเหนือจัดการเลือกตั้งทั่วไปในเวลา ต่อมา และประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี หรือ เกาหลีเหนือเมื่อ 9 ก.ย.2491 พร้อมกับเลือกนายคิมอิลซุงเป็นประธานาธิบดีคนแรก
การเมือง เคยปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์ตามแนวทางของอดีตสหภาพโซเวียต และบนพื้นฐานของลัทธิจูเช่ (Juche-เน้นการพึ่งพาตนเอง) ซึ่งประธานาธิบดีคิม อิล-ซุง บัญญัติขึ้นเมื่อ 26 ธ.ค.2498 หลักการสำคัญคือ เอกราชทางการเมืองอย่างแท้จริง การพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจ และการป้องกันประเทศด้วยตนเอง เมื่อ ก.ย.2541 มีการยกเลิกตำแหน่งประธานาธิบดีโดยประกาศยกย่องประธานาธิบดีคิม อิล-ซุง เป็นประธานาธิบดีตลอดกาล (Eternal President) และให้ตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการป้องกันประเทศ (Chairman of the National Defense Commission-NDC) เป็นผู้นำสูงสุดตามรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไข
เมื่อ เม.ย.2552 และยกเลิกการใช้คำว่า “คอมมิวนิสต์” ในรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขใหม่ เพื่อปรับแนวทางการปกครองเป็นสังคมนิยมแบบเกาหลี
ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือคนปัจจุบัน คือ นายคิม จ็อง-อึน ซึ่งรับตำแหน่งผู้นำประเทศต่อจากนายคิม จ็อง-อิล ผู้เป็นบิดา (อดีตผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือระหว่างปี 2540-2554) โดยหลังการถึงแก่อสัญกรรมของนายคิม จ็อง-อิล เมื่อ 17 ธ.ค.2554 ที่ประชุมพรรคคนงานเกาหลีสมัยพิเศษเมื่อ 11 เม.ย.2555 แต่งตั้งนายคิม จ็อง-อึน บุตรชายคนที่ 3 ของนายคิม จ็อง-อิล ดำรงตำแหน่ง “เลขาธิการพรรคคนงาน” หรือ First Secretary of the Workers’ Party of Korea พร้อมมอบตำแหน่งเลขาธิการพรรคตลอดกาล (Eternal General Secretary) เพื่อเป็นเกียรติแก่นายคิม จ็อง-อิล ต่อมาที่ประชุมสภาประชาชนสูงสุด (Supreme People’s Assembly-SPA) ครั้งที่ 12 สมัยที่ 5 เมื่อ 13 เม.ย.2555 ลงมติรับรองการแต่งตั้งนายคิม จ็อง-อึน เป็นเลขาธิการพรรคคนงาน และประธานคณะกรรมาธิการป้องกันประเทศ (First Chairman of the National Defense Commission-NDC) หรือผู้นำสูงสุดของประเทศ ขณะที่ NDC เป็นองค์กรที่มีอำนาจสูงสุดของประเทศในการกำหนดนโยบาย และการควบคุมดูแลกิจการด้านการเมือง เศรษฐกิจ และการทหาร นายคิม จ็อง-อึน ยังได้รับแต่งตั้งอย่างเป็นทางการเมื่อ 30 ธ.ค.2554 ให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด (Supreme Commander of the Korean People’s Army) หรือจอมทัพ
ในการประชุมสภาประชาชนสูงสุดเมื่อ 29 มิ.ย.2559 เกาหลีเหนือดำเนินการปรับโครงสร้างอำนาจทางการเมืองอีกครั้ง โดยแต่งตั้งให้นายคิม จ็อง-อึน ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการกิจการแห่งรัฐ (Chairman of the State Affairs Commission) ซึ่งคณะกรรมาธิการกิจการแห่งรัฐถือเป็นหน่วยงานที่ตั้งขึ้นแทนคณะกรรมาธิการป้องกันประเทศเดิม
รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เมื่อ 13 เม.ย.2555 มีสาระสำคัญที่แตกต่างจากเดิม โดยนายคิม จ็อง-อึน กล่าวว่า เกาหลีเหนือเป็นรัฐที่มีอาวุธนิวเคลียร์ และเป็นมหาอำนาจด้านการทหาร อันจะนำไปสู่การสร้างชาติ ที่แข็งแกร่ง และเจริญรุ่งเรือง ต่อมาเมื่อ ก.ค.2562 เกาหลีเหนือแก้ไขรัฐธรรมนูญให้นายคิม จ็อง-อึน เป็นผู้แทนสูงสุดของชาวเกาหลี หมายถึงเป็นประมุขของรัฐ (Head of State) และจอมทัพ (Commander-in-Chief) รับผิดชอบงานด้านการดำเนินความสัมพันธ์ทางการทูตกับต่างประเทศ รวมถึงการแต่งตั้งและเรียกกลับเอกอัครราชทูต ก่อนหน้านี้ประธานสภาบริหารสูงสุดของสภาประชาชนสูงสุดเกาหลีเหนือ (President of the Presidium of the Supreme People’s Assembly) ถือเป็น Head of State (เพียงในนาม)
ในการประชุมสมัชชาพรรคคนงานเกาหลี ครั้งที่ 8 เมื่อ ม.ค.2564 นายคิม จ็อง-อึน ได้รับแต่งตั้งเป็น “เลขาธิการพรรคคนงานเกาหลี” (General Secretary) ซึ่งเป็นตำแหน่งเทียบเท่าบิดาและปู่ รวมถึงมีการแต่งตั้งตำแหน่ง “เลขาธิการคนที่ 1” (First Secretary) มีอำนาจบริหารแทนนายคิม จ็อง-อึน ทางพฤตินัย แต่ยังไม่ระบุผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว นอกจากนี้ ที่ประชุมรับร่างแก้ไขระเบียบเปลี่ยนระบบริหารงานภายในพรรคเป็นระบบเลขาธิการ (Secretariat) แทนระบบคณะกรรมาธิการบริหารนโยบาย (Executive Policy Council) เพื่อให้พรรคมีอำนาจสูงสุดในการบริหารงาน และจะจัดประชุมคณะกรรมาธิการทหารกลางเพื่อติดตามสถานการณ์ทันทีหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินทางทหาร รวมถึงกำหนดเวลาชัดเจนที่จะจัดประชุมสมัชชาพรรคคนงานเกาหลีทุก 5 ปี
ฝ่ายบริหาร : นายคิม จ็อง-อึน ดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุดของประเทศ เป็นประธานคณะกรรมาธิการกิจการแห่งรัฐ ประธานคณะกรรมการกลางประชาชน/องค์กรด้านบริหารที่กำหนดนโยบายของรัฐ และเลขาธิการพรรคคนงานเกาหลี
ฝ่ายนิติบัญญัติ : สภาบริหารสูงสุด (Presidium) ของสภาประชาชนสูงสุด (Supreme People’s Assembly-SPA) เป็นองค์กรนิติบัญญัติสูงสุด มีนายชเว รยง-แฮ เป็นประธานสภา Presidium ของ SPA รับผิดชอบงานด้านการดำเนินความสัมพันธ์ทางการทูตกับต่างประเทศ สมาชิก SPA มีจำนวน 687 คน มาจากการเลือกตั้งที่เสนอชื่อโดยพรรคคนงานเกาหลี และมีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี การประชุม SPA ส่วนใหญ่จัดครั้งเดียวในช่วงต้น เม.ย. ของทุกปี หากมีกรณีเร่งด่วนจะจัดการประชุมวิสามัญในช่วง ก.ย.
ฝ่ายตุลาการ : หน่วยงานที่มีอำนาจสูงสุด คือ ศาลกลาง (Central Court) แต่เดิมเรียกศาลสูงสุด (Supreme Court) รองลงไปเป็นศาลระดับกลาง มีศาลจังหวัด ศาลเมืองระดับล่าง คือ ศาลอำเภอ และศาลตำบล หน่วยงานอัยการกลางมีหน้าที่รับผิดชอบการดำเนินงานของอัยการทั่วประเทศ และทำหน้าที่เป็นอัยการแห่งรัฐ ตรวจสอบการดำเนินงานของฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ และการปฏิบัติของประชาชน ไม่ให้ขัดต่อกฎหมาย และอุดมการณ์ของชาติ
พรรคการเมือง : มีพรรคเดียว คือ พรรคคนงานเกาหลี มีบทบาทและอิทธิพลสูงสุดในการควบคุมหน่วยงานของรัฐบาลในการบริหารประเทศ สมาชิกพรรคมีมากกว่า 3 ล้านคน พรรคมีคณะกรรมการบริหาร 3 คณะ ได้แก่ 1) คณะกรรมการกลาง 2) คณะกรรมาธิการทหารกลาง และ 3) คณะกรรมาธิการตรวจสอบ
เศรษฐกิจ หลังจากนายคิม จ็อง-อึน ประสบความสำเร็จในการกระชับอำนาจทางการเมืองและการทหารในช่วง 3 ปีแรกที่ดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุดอย่างเป็นทางการ นายคิม จ็อง-อึน มีความมั่นใจจะเริ่มผลักดันแผนปฏิรูปเศรษฐกิจ และเปิดประเทศตามแนวคิดของตนเองด้วยการผลักดันนโยบาย “พย็องจิน” (การพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่กับการพัฒนานิวเคลียร์) ให้มีการผ่อนคลายการควบคุมเศรษฐกิจ การปรับระบบปันส่วนอาหาร และให้ชาวเกาหลีเหนือสามารถเก็บผลผลิตไว้เพื่อการบริโภคและจำหน่ายได้มากขึ้นก่อนจัดส่งให้ส่วนกลาง
ในการประชุมสมัชชาพรรคคนงานเกาหลี ครั้งที่ 8 เมื่อ ม.ค.2564 นายคิม จ็อง-อึน ยอมรับว่า แผนพัฒนาเศรษฐกิจของเกาหลีเหนือระหว่างปี 2559-2563 ไม่บรรลุเป้าหมายที่กำหนด และจะแก้ไขโดยใช้หลักพึ่งพาตนเองมากขึ้นในแผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปี ฉบับใหม่ โดยเสาหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจแบบพึ่งพาตนเองคือ อุตสาหกรรมเหล็กและเคมี ซึ่งจะต่อยอดสู่อุตสาหกรรมอื่น ๆ ได้แก่ ไฟฟ้า ถ่านหิน เครื่องจักร ระบบขนส่งทางรถไฟ และระบบข้อมูลและการสื่อสาร ขณะเดียวกัน จะส่งเสริมอุตสาหกรรมเบาเพื่อให้สินค้าบริโภคมีปริมาณและคุณภาพเพิ่มขึ้น พร้อมให้ความสำคัญต่อการพัฒนาเทคโนโลยีการเกษตร และเพิ่มผลผลิตทั้งภาคการเกษตรและการประมง รวมทั้งเสริมสร้างภาควิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2563 เศรษฐกิจเกาหลีเหนือได้รับผลกระทบอย่างมากจากภัยธรรมชาติ การปิดประเทศเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 และมาตรการคว่ำบาตรของสหประชาชาติและสหรัฐฯ ส่งผลให้เกิดวิกฤตขาดแคลนอาหารในปี 2564
สกุลเงิน : อัตราแลกเปลี่ยนเงินสกุลวอนเกาหลีเหนือต่อดอลลาร์สหรัฐไม่แน่นอน โดยอัตราแลกเปลี่ยนอย่างเป็นทางการ 1 ดอลลาร์สหรัฐ : 900 วอนเกาหลีเหนือ แต่อัตราแลกเปลี่ยนเงินวอนเกาหลีเหนืออย่างไม่เป็นทางการอยู่ที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐ : 5,200 วอนเกาหลีเหนือ ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนเงินสกุลวอน เกาหลีเหนือต่อเงินหยวนของจีนอย่างเป็นทางการอยู่ที่ 1 หยวน : 141 วอนเกาหลีเหนือ ขณะที่ข้าวกิโลกรัมละประมาณ 5,500 วอนเกาหลีเหนือ (ก.ค.2564)
ดัชนีเศรษฐกิจสำคัญ (ปี 2563)
ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) : 26.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ : -4.5% (ปี 2563 ที่มา : Bank of Korea)
รายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปี : 1,168 ดอลลาร์สหรัฐ
แรงงาน : 14 ล้านคน (ปี 2557 ข้อมูล CIA Factbook)
มูลค่าการค้าต่างประเทศ : 860 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจาก 3,250 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อปี 2562 เป็นผลจากมาตรการควบคุมการค้าบริเวณพรมแดนที่เข้มงวดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทั้งนี้ เกาหลีเหนือยังทำการค้ากับเกาหลีใต้ ซึ่งหลายหน่วยงานไม่นำมานับรวมเป็นการค้าต่างประเทศของเกาหลีเหนือ ก่อนหน้านี้ การค้าระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ส่วนใหญ่เป็นการค้าที่นิคมอุตสาหกรรมแคซ็อง ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ ซึ่งเมื่อปี 2558 มีมูลค่าการค้า 2,714.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ดี เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างสองเกาหลีเสื่อมทรามลง จากการที่เกาหลีเหนือทดลองนิวเคลียร์และขีปนาวุธ เกาหลีใต้ตอบโต้ด้วยการยุติการดำเนินการที่นิคมอุตสาหกรรมแคซ็องเมื่อ 10 ก.พ.2559 มูลค่าการค้าระหว่างสองเกาหลีลดลงอย่างมาก โดยปี 2563 อยู่ที่ 3.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ดุลการค้าต่างประเทศ : ขาดดุล 680 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
มูลค่าการส่งออก : 90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สินค้าส่งออก : ชิ้นส่วนนาฬิกา ผมปลอม ผลิตภัณฑ์เหล็กและโลหะ แร่โลหะทังสเตน (Tungsten) และพิมพ์เขียว (Instructional models) (ปี 2562)
มูลค่าการนำเข้า : 770 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สินค้านำเข้า : เสื้อผ้าและสิ่งทอ น้ำมันถั่วเหลือง ข้าว ธัญพืช นาฬิกาและนาฬิกาข้อมือ (ปี 2562)
คู่ค้าสำคัญ : จีน และซูรินาม (ปี 2562 ข้อมูล CIA Factbook)
* ข้อมูลส่วนใหญ่มาจากธนาคารกลางเกาหลีใต้ (Bank of Korea)
การทหาร กองทัพเกาหลีเหนือก่อตั้งเมื่อ 8 ก.พ.2491 มีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันตนเองและรวมชาติเกาหลี แต่ถูกใช้เป็นฐานค้ำจุนอำนาจการปกครองของผู้นำประเทศ
กำลังพล 1.28 ล้านนาย แบ่งเป็น ทบ.ประมาณ 1.1 ล้านนาย ทร.ประมาณ 60,000 นาย และ ทอ.ประมาณ 110,000 นาย กกล.ทางยุทธศาสตร์ (Strategic Forces) ประมาณ 10,000 นาย ระยะเวลาเกณฑ์ทหาร ทอ. 3-4 ปี ทบ. 5-12 ปี ทร. 5-10 ปี เกาหลีเหนือค้นคว้าวิจัยเพื่อพัฒนากองทัพอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ขีปนาวุธ อาวุธเคมีและชีวภาพ และกองทัพผลิตอาวุธเพื่อการส่งออกเป็นรายได้เข้าประเทศอีกทางหนึ่ง ขณะที่ กกล.รบพิเศษ (Special Pupose Forces Command) ประมาณ 88,000 นาย
มีขีดความสามารถแทรกซึมเพื่อสร้างความเสียหายหลังแนวรบของเกาหลีใต้
เกาหลีเหนือมีศักยภาพในการทำสงครามไซเบอร์ที่สามารถสร้างความเสียหายให้เกาหลีใต้และ กกล.สหรัฐฯ ในเกาหลีใต้มาแล้ว โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบการทำสงครามไซเบอร์ อาทิ 1) State Security Agency ทำหน้าที่เฝ้าติดตามเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ หน่วยนี้จะขึ้นตรงกับ Korea Computer Center มีบุคลากรประมาณ 1,000 นาย 2) Unit 121 จัดตั้งเมื่อปี 2541 มีกำลังพลเริ่มแรกประมาณ 1,000 นาย มีงบประมาณ 56 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อยู่ภายใต้การกำกับของ General Reconnaissance Bureau ทำหน้าที่กำหนดยุทธศาสตร์การปฏิบัติการและเทคนิค ขึ้นตรงต่อเสนาธิการทหารเกาหลีเหนือ มีเป้าหมายต่อหน่วยงานของรัฐบาลและเอกชนเกาหลีใต้ รวมถึงสหรัฐฯ เกาหลีเหนือมีบุคลากรในหน่วยงานด้านการทำสงครามทางคอมพิวเตอร์ (cyber warfare) ประมาณ 7,000 นาย และยังคงให้การฝึกอบรมผู้มีความสามารถพิเศษหรืออัจฉริยะให้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเจาะระบบคอมพิวเตอร์
อาวุธนิวเคลียร์ เกาหลีเหนือทดลองระเบิดนิวเคลียร์ใต้ดิน 6 ครั้ง เมื่อ 9 ต.ค.2549 25 พ.ค.2552 12 ก.พ.2556 6 ม.ค.2559 9 ก.ย.2559 และ 3 ก.ย.2560 โดยการทดลองนิวเคลียร์ครั้งที่ 6 ที่เขตพุงกเย เมืองกิลจู จ.ฮัมเกียงเหนือ วัดแรงสั่นสะเทือนได้ 6.3 ริกเตอร์ (US Geological Survey) เกาหลีเหนืออ้างว่าเป็นการทดลองระเบิดไฮโดรเจน
การพัฒนาขีปนาวุธ เกาหลีเหนือมีขีปนาวุธ (Ballistic Missiles) รวมกว่า 1,000 ลูก โดยเป็นขีปนาวุธแบบ Scud (ประมาณ 600 ลูก) มีพิสัยการยิงครอบคลุมเกาหลีใต้ ขณะที่ขีปนาวุธแบบโนดอง (Rodong-ออกเสียงเป็น Nodong) มีพิสัยการยิงถึงญี่ปุ่น ขีปนาวุธพิสัยปานกลาง (Intermediate Range Ballistic Missile-IRBM) แบบ BM 25/ Musudan มีพิสัยทำการ 3,000 กม. ครอบคลุมภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ เกาหลีเหนือพัฒนาขีปนาวุธพิสัยไกลแบบ KN-01/KN-14 ซึ่งมีพิสัยทำการ 6,000-10,000 กม. สามารถโจมตีถึงดินแดนของสหรัฐฯ ที่เกาะกวม หรืออาจถึงแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐฯ
เกาหลีเหนือให้ความสำคัญกับการพัฒนาอาวุธอย่างต่อเนื่อง อาทิ จรวดหลายลำกล้อง (Multiple-Launch Rocket System-MLRS) รวมถึงอาวุธความแม่นยำสูง ขีปนาวุธแบบยิงจากเรือดำน้ำ (Submarine-Launched Ballistic Missile-SLBM) ขีปนาวุธพิสัยไกล และขีปนาวุธข้ามทวีป (Intercontinental Ballistic Missile-ICBM) และเกาหลีเหนือยิงทดสอบขีปนาวุธรุ่นใหม่หลายชนิดเมื่อห้วงปี 2564 อาทิ จรวดร่อนพิสัยไกล (Long Range Cruise Missile) ขีปนาวุธนำวิถีจากรถไฟ (Railway Mobile Missile Regiment) ขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง (Hypersonic Missile) และขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน (Anti-aircraft Missile)
เกาหลีเหนือมีเรือดำน้ำกว่า 70 ลำ ส่วนใหญ่เป็นเรือดำน้ำดีเซลไฟฟ้า (Diesel-Electric Submarines) ชั้น Romeo ในสมัยสหภาพโซเวียตซึ่งค่อนข้างล้าสมัย อย่างไรก็ดี กรณีที่เกาหลีใต้และสหรัฐฯ เชื่อว่าเรือดำน้ำขนาดเล็ก (ขนาด 90-370 ตัน) ของเกาหลีเหนือใช้ตอร์ปิโดจมเรือรบชอนันของเกาหลีใต้เมื่อ 26 มี.ค.2553 สะท้อนว่า เรือดำน้ำขนาดเล็กซึ่งเดิมเน้นใช้ในภารกิจแทรกซึมมีขีดความสามารถและความเงียบ (ยากต่อการตรวจจับ) จนอาจเป็นภัยคุกคามต่อเรือผิวน้ำได้โดยเฉพาะการปฏิบัติการในเขตน่านน้ำตื้น
การส่งออกอาวุธของเกาหลีเหนือ ถูกห้ามส่งออกตามข้อมติที่ 1718 1874 2087 และ 2270 ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council-UNSC) อย่างไรก็ดี เกาหลีเหนือยังคงพยายามลักลอบส่งออก-นำเข้าอาวุธอย่างต่อเนื่อง โดยใช้เครือข่ายการขนส่งที่ซับซ้อน ใช้การขนส่งหลายทอด และอาศัยช่องว่างของข้อมติโดยให้ประเทศที่สามเป็นตัวกลาง ตลอดจนการใช้บริษัทบังหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับของนานาชาติ ทำให้ยากต่อการตรวจพบ นอกจากนี้ รูปแบบการค้ายังเปลี่ยนไปจากเดิมที่ชำระเงินเมื่อรับสินค้า เป็นการให้ลูกค้าชำระเงินสดที่เกาหลีเหนือ จากนั้น ลูกค้าจะเป็นผู้รับผิดชอบการจัดส่งสินค้า อาวุธที่เกาหลีเหนือส่งออก ส่วนใหญ่เป็นเรือรบ ขีปนาวุธ อาวุธตามแบบ (เครื่องกระสุนปืนเล็ก ปืนใหญ่) เทคโนโลยีการผลิตอาวุธและชิ้นส่วนอาวุธ
ปัญหาด้านความมั่นคง
การเมืองภายในของเกาหลีเหนือยังคงมีเสถียรภาพ หลังจากนายคิม จ็อง-อึน ดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนืออย่างเป็นทางการเมื่อปี 2555 แม้เกิดข้อขัดแย้งภายในจนทำให้มีการประหารชีวิตนายชัง ซ็อง-แท็ก อาเขยของนายคิม จ็อง-อึน ผู้นำสูงสุด และถือเป็นผู้มีอำนาจลำดับ 2 ของเกาหลีเหนือ เมื่อ ธ.ค.2556 โดยนายคิม จ็อง-อึน ดำเนินการกระชับอำนาจอย่างเด็ดขาดด้วยการกวาดล้างฐานอำนาจเก่าของนายชัง ซ็อง-แท็ก และแต่งตั้งโยกย้าย จนท.ระดับสูงที่ไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ทั้งนี้ เมื่อปี 2563 มีรายงานของสื่อมวลชนต่างประเทศว่า นายคิม จ็อง-อึน มีอาการป่วยขั้นวิกฤตในห้วงที่ไม่ปรากฏตัวต่อสาธารณะเมื่อ เม.ย.2563 และห้วง ส.ค.2563 มีรายงานว่า ผู้นำเกาหลีเหนือมอบอำนาจการบริหารประเทศบางส่วนให้แก่นางสาวคิม ยอ-จ็อง น้องสาวและบุคคลใกล้ชิด
ความสัมพันธ์ไทย-เกาหลีเหนือ
สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อ 8 พ.ค.2518 โดย ออท.เกาหลีเหนือประจำเมียนมา (ในขณะนั้น) ดำรงตำแหน่ง ออท.ประจำประเทศไทย และ ออท.ไทย/ปักกิ่ง ดำรงตำแหน่ง ออท.ไทย/เปียงยาง เมื่อ 15 มี.ค.2534 เกาหลีเหนือได้ยกระดับสำนักงานของเกาหลีเหนือในกรุงเทพฯ (ตั้งเมื่อ 25 ธ.ค.2522) เป็นสถานเอกอัครราชทูต ส่วนไทยยังคงให้สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ ปักกิ่ง มีเขตอาณาครอบคลุมเกาหลีเหนือ
ความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนกลไกความสัมพันธ์ทวิภาคี ได้แก่ คณะกรรมาธิการร่วมทางการค้า (Joint Trade Commission-JTC) รมว.กระทรวงพาณิชย์ของทั้งสองประเทศเป็นประธานร่วม เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือทางการค้าระหว่างกัน
การลงทุนของไทยในเกาหลีเหนือ บริษัทล็อกซเลย์จำกัด โดยบริษัท LOXPAC ลงทุนด้านกิจการโทรคมนาคมกับกระทรวงไปรษณีย์และโทรคมนาคมเกาหลีเหนือเมื่อปี 2539 โดยตั้งเป็นบริษัท Northeast Asia Telephone and Telecommunication เพื่อพัฒนาระบบโทรศัพท์มือถือ (GSM) ในเกาหลีเหนือ เฉพาะอย่างยิ่งในเขตเศรษฐกิจพิเศษราจิน-ซอนบอง (ราซอน) อย่างไรก็ตาม บริษัท LOXPAC ยุติการดำเนินกิจการในไทยและขายกิจการให้แก่บริษัทของฮ่องกง พร้อมย้ายบริษัทไปอยู่ที่ฮ่องกงเมื่อปี 2560
การค้าไทยกับเกาหลีเหนือ ไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้ามาโดยตลอด เมื่อปี 2562 มูลค่าการค้ารวม 5.17 ล้านบาท โดยเป็นการนำเข้ามูลค่าประมาณ 290,000 บาท และส่งออกมูลค่า 4.88 ล้านบาท ลดลง 80% จากปี 2561 ที่มีมูลค่าการค้า 26 ล้านบาท ทั้งนี้ ไม่มีการรายงานข้อมูลการค้าระหว่างไทยกับเกาหลีเหนือตั้งแต่ปี 2563 (กระทรวงพาณิชย์)
เกาหลีเหนือยังคงค้างชำระหนี้ค่าข้าวไทย หลังจากการสั่งซื้อข้าวจากไทยเมื่อปี 2536 ด้วยระบบการให้สินเชื่อโดยการผ่อนชำระค่าข้าว โดยเกาหลีเหนือค้างชำระค่าข้าว (รวมดอกเบี้ย) ประมาณ 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ข้อมูลเมื่อปี 2562)
ด้านวัฒนธรรม ไทยและเกาหลีเหนือแลกเปลี่ยนการติดต่อและการดำเนินกิจกรรมทางด้านวัฒนธรรมในสาขาต่าง ๆ ที่มีการลงนามความตกลงด้านวัฒนธรรมระหว่างกันเมื่อ 1 มี.ค. 2545
กรณีนางสาวอโนชา ปันจ้อย หญิงไทยที่คาดว่าถูกลักพาตัวไปเกาหลีเหนือเมื่อปี 2521 ทางการเกาหลีเหนือตรวจสอบแล้วในเบื้องต้นไม่พบหลักฐานว่ามีบุคคลชื่อนางสาวอโนชาอยู่ในเกาหลีเหนือ อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศได้ขอความร่วมมือกับทางการเกาหลีเหนือในการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณี
นางสาวอโนชาเป็นระยะ โดยขอให้คำนึงถึงความสนใจของสาธารณชนและความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ แต่ไม่ได้กำหนดเงื่อนไขในเรื่องเวลาของการดำเนินการตรวจสอบ ปัจจุบัน สถานภาพของนางสาวอโนชาเป็นบุคคลหายสาบสูญ
สถานการณ์สำคัญที่น่าติดตาม
1) สถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลีและการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ กับเกาหลีเหนือต่อประเด็นการปลดอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ
2) เสถียรภาพทางการเมืองภายในของเกาหลีเหนือ
3) ความก้าวหน้าในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธพิสัยไกล
4) การดำเนินนโยบายพัฒนาและปฏิรูปเศรษฐกิจ
5) ความพยายามรื้อฟื้นการเจรจา 6 ฝ่าย เพื่อให้เกาหลีเหนือยุติโครงการนิวเคลียร์
6) ปัญหาชาวเกาหลีเหนือหลบหนีออกนอกประเทศ ซึ่งจำนวนผู้ลักลอบเข้าเมืองและผู้ลี้ภัยชาวเกาหลีเหนือที่เกาหลีใต้รับตัวไปลดลงอย่างมาก เนื่องจากเกาหลีเหนือเพิ่มความเข้มงวดตามแนวพรมแดน และปรับเปลี่ยนนโยบายต่อผู้ลี้ภัยชาวเกาหลีเหนือ โดยนายคิม จ็อง-อึน เรียกร้องให้กลับประเทศโดยไม่ถูกลงโทษ และให้หน่วยพิเศษติดตามจับกุมชาวเกาหลีเหนือที่เป็นบุคคลสำคัญกลับประเทศ ทั้งนี้ ไทยไม่มีนโยบายผลักดันชาวเกาหลีเหนือกลับประเทศ ประกอบกับเกาหลีใต้มีนโยบายรับผู้ลี้ภัยชาวเกาหลีเหนือ และเพิ่มงบประมาณในการดูแล ทำให้ชาวเกาหลีเหนือยังคงนิยมใช้ไทยเป็นทางผ่านที่สะดวกที่สุด เพื่อขอลี้ภัยไปประเทศที่สาม