เมืองหลวง มาดริด
ที่ตั้ง ยุโรปตะวันตกเฉียงใต้ (คาบสมุทรไอบีเรีย) ติดกับอ่าว Biscay ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ และเทือกเขาพิเรเน่ มีพื้นที่ 505,992 ตร.กม. ขนาดใหญ่ลำดับที่ 51 ของโลก (ไทยลำดับที่ 50) โดยแบ่งเป็นพื้นดิน 498,980 ตร.กม. และน่านน้ำ 6,390 ตร.กม. จุดยุทธศาสตร์สำคัญของสเปน คือ ช่องแคบยิบรอลตาร์ซึ่งอยู่ทางใต้ของประเทศ ทำให้สเปนเป็นพื้นที่เชื่อมโยงยุโรปกับแอฟริกา และ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับมหาสมุทรแอตแลนติก
อาณาเขต
ทิศเหนือ ติดกับทะเลกันตาบริโก อันดอร์รา และฝรั่งเศส
ทิศใต้ ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ช่องแคบยิบรอลตาร์ และ มหาสมุทรแอตแลนติก
ทิศตะวันออก ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
ทิศตะวันตก ติดกับโปรตุเกสและมหาสมุทรแอตแลนติก
ภูมิประเทศ ส่วนที่เป็นคาบสมุทร คือ คาบสมุทรไอบีเรีย และดินแดนทางเหนือของโมร็อกโก ได้แก่ Ceuta และ Melilla และมีพื้นที่บางส่วนที่เป็นหมู่เกาะ คือ หมู่เกาะบาเลอาริค และหมู่เกาะคะเนรี
วันชาติ 12 ต.ค. (ปี 2035 ที่โคลัมบัสค้นพบทวีปอเมริกา)
นายเปโดร ซานเชส
Pedro Sanchez
(นรม.สเปน)
ประชากร 47,260,584 คน (ก.ค.2564)
รายละเอียดประชากร สเปน 84.8% โมร็อกโก 1.7% โรมาเนีย 1.2% อื่น ๆ 12.3% อัตราส่วนประชากรจำแนกตามอายุ : วัยเด็ก (0-14 ปี) 15.02% วัยรุ่นถึงวัยกลางคน (15-64 ปี) 66.5% และวัยชรา (65 ปีขึ้นไป) 18.49% อายุขัยเฉลี่ยของประชากร 82.21 ปี อายุขัยเฉลี่ยของชาย 79.22 ปี อายุขัยเฉลี่ยของหญิง 85.39 ปี อัตราการเกิด 8.05 คน ต่อประชากร 1,000 คน อัตราการตาย 9.78 คนต่อประชากร 1,000 คน
การก่อตั้งประเทศ
ชนชาติต่าง ๆ ได้เข้ามามีอิทธิพลและยึดครองดินแดนประเทศสเปนตั้งแต่สมัยโบราณ เริ่มจากชาวไอบีเรีย และชาวบาสก์ (ยุคก่อนประวัติศาสตร์) ชาวเคลต์และชาวฟินีเซียโบราณ (ศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาล) ชาวกรีก (ศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสตกาล) ชาวคาทาจีเนีย (ศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล) และชาวโรมัน (ศตวรรษที่ 2 และ 1 ก่อนคริสตกาล) โดยจัดตั้งอาณาจักรคริสต์แห่งสเปน ในยุคคริสตกาลอยู่ภายใต้การปกครองของวิซิกอทชนเผ่าพันธุ์เยอรมันถึง 3 ศตวรรษ หลังจากนั้นในปี 1254 เสียดินแดนให้แก่ชาวมัวร์ (ชาวอาหรับจากแอฟริกาเหนือ) ส่งผลให้สเปนแบ่งเป็นชุมชนชาวคริสต์ในพื้นที่ทางเหนือ และชุมชนมุสลิม (มัวร์) ในพื้นที่ทางใต้ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของสเปน เมื่อปี 2035 ราชอาณาจักรกาสเตลและอารากอนขับไล่ชาวมัวร์ออกจากคาบสมุทรไอบีเรียได้สำเร็จ และปีเดียวกันคริสโตเฟอร์ โคลัมบัสได้ค้นพบโลกใหม่ นำไปสู่การกำเนิดจักรวรรดิสเปนที่แผ่ขยายไปทั่วโลก สเปนกลายเป็นประเทศที่มีอำนาจมากที่สุดในยุโรปในช่วงก่อนศตวรรษที่ 16 จนถึงต้นศตวรรษที่ 19
สเปนต้องเผชิญกับสงครามกลางเมืองในช่วงปี 2479-2482 และอยู่ภายใต้การปกครองระบอบเผด็จการของจอมพลฟรานซิสโก ฟรังโก นานถึง 36 ปี (ปี 2482-2518) หลังจากจอมพลฟรังโกถึงแก่อสัญกรรม จึงปรับเปลี่ยนมาสู่ระบอบประชาธิปไตยโดยมีสมเด็จพระราชาธิบดีฆวน คาร์ลอสที่ 1 (Juan Carlos I) เป็นประมุข
การเมือง การปกครองเป็นแบบรัฐสภามีกษัตริย์เป็นประมุข ปัจจุบัน สมเด็จพระราชาธิบดีเฟลีเปที่ 6 (Felipe 6) ทรงขึ้นครองราชย์เมื่อ 19 มิ.ย.2557 ต่อจากสมเด็จพระราชาธิบดีฆวนคาร์ลอส ที่ 1 ที่สละราชบัลลังก์ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ได้รับการรับรองจากสภานิติบัญญัติ เมื่อ 31 ต.ค.2521 และผ่านการลงประชามติ เมื่อ 6 ธ.ค.2521 สมเด็จพระราชาธิบดีทรงลงพระปรมาภิไธยเมื่อ 27 ธ.ค.2521
แบ่งเขตการปกครองเป็นแคว้นอิสระ 17 แคว้น (autonomous communities) และ 2 จังหวัดอยู่ทางตอนเหนือของโมร็อกโก (autonomous provinces) รัฐธรรมนูญเปิดโอกาสให้แคว้นต่าง ๆ มีสิทธิในการปกครองตนเองในระดับที่ต่างกันตามภูมิหลังการปกครองตนเองของแต่ละแคว้น โดยที่แต่ละแคว้นมีสภาของตนเอง มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาทุก ๆ 4 ปี ได้รับสิทธิและอำนาจบริหารท้องถิ่นของตนเอง แคว้นอิสระ 17 แคว้น ได้แก่ 1) Andalucia 2) Aragon 3) Asturias 4) Baleares 5) Ceuta 6) Canarias 7) Cantabria 8) Castilla y Leon 9) Cataluna 10) Communidad 11) Valenciana 12) Extremadura 13) Galicia 14) La Rioja 15) Madrid 16) Melilla และ 17) Murcia ส่วนจังหวัดอิสระ ได้แก่ Navarra และ Pais Vasco (Basque Country)
ฝ่ายบริหาร : รัฐบาลเป็นผู้ใช้อำนาจและทำหน้าที่ฝ่ายบริหารภายใต้รัฐธรรมนูญและกฎหมาย เป็นผู้กำหนดและดำเนินนโยบายทั้งภายในและต่างประเทศ รวมทั้งการป้องกันประเทศ รัฐบาลประกอบด้วย นรม. (President of the Government) รอง นรม. รมว. และ รมต.อื่น ๆ การแต่งตั้ง นรม. สมเด็จพระราชาธิบดีทรงปรึกษาหารือกับผู้แทนพรรคการเมืองที่มีสมาชิกในรัฐสภาแล้วเสนอชื่อผู้เห็นสมควรได้รับการเลือกตั้งให้สภาผู้แทนราษฎรรับรองด้วยคะแนนเสียงข้างมากเด็ดขาด จากนั้นสมเด็จพระราชาธิบดี จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง นรม. และ นรม.จะเป็นผู้เสนอรายชื่อ ครม. เพื่อให้สมเด็จพระราชาธิบดี มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง โดยไม่จำเป็นต้องขอรับความไว้วางใจจากรัฐสภาอีก ส่วนพระราชกรณียกิจเกี่ยวกับราชการจะต้องมี นรม. หรือ รมต.ที่เกี่ยวข้องหนึ่งคนลงนามรับสนองพระบรมราชโองการเพื่อรับผิดชอบ ในพระราชกรณียกิจนั้น รัฐบาลมีวาระ 4 ปี หรือจนกว่าจะมีการเลือกตั้งทั่วไป
การเลือกตั้งทั่วไปจัดขึ้นเมื่อ 10 พ.ย.2562 นายเปโดร ซานเชส หัวหน้าพรรค Spanish Socialist Workers’ Party (PSOE) รับตำแหน่ง นรม. เป็นรัฐบาลผสมเสียงข้างน้อย โดยฝ่ายรัฐบาลมีจำนวน 155 ที่นั่ง ประกอบด้วย 2 พรรคหลัก ได้แก่ พรรค PSOE 120 ที่นั่ง และพรรค United We Can หรือ Unidas Podemos (UP) 35 ที่นั่ง และมีกลุ่มพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่ให้การสนับสนุนฝ่ายรัฐบาลอีก 13 ที่นั่ง ส่วนฝ่ายค้านมีจำนวน 182 ที่นั่ง ประกอบด้วยพรรคหลัก อาทิ พรรค People’s Party (PP) 88 ที่นั่ง พรรค VOX 52 ที่นั่ง พรรค Republican Left of Catalonia (ERC) 13 ที่นั่ง
ฝ่ายนิติบัญญัติ : ระบบ 2 สภา (National Assembly) ได้แก่ 1) วุฒิสภา (Senate หรือ Senado) มีสมาชิก 266 ที่นั่ง วาระ 4 ปี โดย 208 ที่นั่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรง อีก 58 ที่นั่งมาจากการแต่งตั้งของสภานิติบัญญัติท้องถิ่น และ 2) สภาผู้แทนราษฎร (Congress of Deputies หรือ Congreso de los Didputados) มี 350 ที่นั่ง วาระ 4 ปี
หลักเกณฑ์การเลือกตั้งกำหนดว่า ผู้ที่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งจะต้องมีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ สำหรับผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง ในกรณีที่เป็น รมต.ในคณะรัฐบาล (ไม่รวมถึง นรม.) ข้าราชการ พลเรือน และทหารจะต้องลาออกจากตำแหน่งก่อนจึงจะมีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งได้
ฝ่ายตุลาการ : รัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติไว้ว่า ผู้พิพากษาและ จนท.ตุลาการ เป็นผู้มีอำนาจและหน้าที่บริหารราชการตุลาการอย่างอิสระในนามของสมเด็จพระราชาธิบดี ผู้ใดจะถอดถอน ไล่ออก สั่งพักราชการ และโยกย้ายมิได้ เว้นแต่การกระทำข้างต้นจะเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายซึ่งได้บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะ
พรรคการเมืองสำคัญ : 1) พรรค Spanish Socialist Workers’ Party (PSOE) แนวคิดกลางซ้าย มีนาง Christina Narbona เป็นหัวหน้าพรรค 2) พรรค United We Can /Unidas Podemos (UP) มีผู้นำพรรค คือ นาง Yolanda Diaz 3) พรรค People’s Party (PP) แนวคิดกลางขวามีนาย Pablo Casado เป็นหัวหน้าพรรค 4) พรรค VOX แนวคิดขวาจัด มีนาย Santiago Abascal เป็นหัวหน้าพรรค นอกจากนี้ ยังมีพรรคการเมืองที่ผลักดันการแยกแคว้นกาตาลุญญาให้เป็นเอกราชจากการปกครองโดยรัฐบาลสเปน เช่น พรรค Republican Left of Catalonia (ERC) มีผู้นำพรรค คือ นาย Oriol Junqueras และพรรค Together for Catalonia (Junts) มีผู้นำพรรค คือ นาง Laura Borras รวมถึงพรรคการเมืองที่ส่งเสริมการแยกตัวเป็นเอกราชของแคว้นบาสก์ เช่น พรรค Basque Nationalist Party (PNN) มีนาย Andoni Ortuzar เป็นผู้นำพรรค และพรรค Basque Country Unite (EHB) มีนาย Arnaldo Otegi เป็นผู้นำพรรค
เศรษฐกิจ ขนาดเศรษฐกิจอันดับที่ 13 ของโลก และอันดับ 5 ในยุโรป มีเทคโนโลยีในการพัฒนาผลผลิตทางเกษตรกรรมและเทคโนโลยีการผลิตระดับสูงที่ทันสมัยในอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมทั้งด้านพลังงานทดแทน
ผลผลิตการเกษตร : เมล็ดพันธุ์ข้าว น้ำมันมะกอก ไวน์ที่ผลิตจากองุ่น หัวบีตที่ใช้ทำน้ำตาล (sugar beets) การประมง
อุตสาหกรรม : สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม (รวมถึงรองเท้า) อาหารและเครื่องดื่ม โลหะและผลิตภัณฑ์เคมี การต่อเรือและรถยนต์ เครื่องจักรกล การท่องเที่ยว ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากดินเหนียวและทนความร้อน รองเท้า ยา อุปกรณ์ทางการแพทย์
ทรัพยากรธรรมชาติ : ถ่านหิน ลิกไนต์ เหล็ก ทองแดง ยูเรเนียม ทังสเตน ยิปซัม พลังงานน้ำ
นโยบายเศรษฐกิจ : ให้ความสำคัญกับการคิดค้น การวิจัย และการพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน และศักยภาพการผลิต การรักษาสภาวะดุลงบประมาณ การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาพลังงานทดแทนในรูปแบบต่าง ๆ และการลดอัตราการว่างงาน
สกุลเงิน ตัวย่อสกุลเงิน : ยูโร (Euro)
อัตราแลกเปลี่ยนต่อดอลลาร์สหรัฐ : 1 ยูโร : 1.16 ดอลลาร์สหรัฐ
อัตราแลกเปลี่ยนต่อบาท : 1 ยูโร : 38.87 บาท (ต.ค.2564)
ดัชนีเศรษฐกิจสำคัญ (ปี 2563)
ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) : 1,281,199 ดอลลาร์สหรัฐ
อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ : -10.8%
รายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปี : 27,057 ดอลลาร์สหรัฐ
แรงงาน : 22.79 ล้านคน
อัตราการว่างงาน : 15.7%
อัตราเงินเฟ้อ : -0.3%
ดุลบัญชีเดินสะพัด : เกินดุล 8,664 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
มูลค่าการส่งออก : 306,995 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สินค้าส่งออกสำคัญ : เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ สัตว์น้ำสดแช่เย็น/ แช่แข็ง/ แปรรูป/ กึ่งสำเร็จรูปเครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ พืชและผลิตภัณฑ์จากพืช
มูลค่าการนำเข้า : 324,993 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สินค้านำเข้าสำคัญ : รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง ยางพารา เคมีภัณฑ์ ผลไม้กระป๋องและแปรรูป เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ เส้นใยประดิษฐ์ เครื่องนุ่งห่ม
คู่ค้าสำคัญ : ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี โปรตุเกส สหราชอาณาจักร จีน และเนเธอร์แลนด์
การทหาร มีกำลังพลประจำการรวม 122,850 นาย (แยกเป็น ทบ. 71,300 นาย ทร. 20,350 นาย ทอ. 19,750 นาย กกล.ร่วม 11,450 นาย และ กกล.สารวัตรทหาร 75,800 นาย) นอกจากนี้ ยังมี กกล.สำรองอีก 14,900 นาย (แยกเป็น ทบ. 8,800 นาย ทร. 3,150 นาย ทอ. 2,350 นาย และอื่น ๆ 600 นาย) งบประมาณด้านการทหาร 1.4% ของ GDP
ปัญหาด้านความมั่นคง
ประเด็นความพยายามแยกตัวเป็นเอกราชของแคว้นกาตาลุญญา กระแสเรียกร้องเอกราชในแคว้นกาตาลุญญายังคงดำเนินอยู่ โดยรัฐบาลสเปนเน้นจุดยืนเดิมว่า การประกาศเอกราชฝ่ายเดียวของแคว้นกาตาลุญญาเมื่อห้วง ต.ค.2560 ไม่ได้รับการยอมรับทางกฎหมาย เนื่องจากขัดกับรัฐธรรมนูญแห่งชาติสเปนที่ระบุชัดเจนว่าดินแดนสเปนไม่อาจแบ่งแยกได้ อย่างไรก็ดี รัฐบาล นรม.เปโดร ซานเชส มีนโยบายต่อแคว้นกาตาลุญญาในลักษณะผ่อนปรนกว่าสมัยรัฐบาลอดีต นรม.มาริอาโน ราคอย โดย นรม.ซานเชส พยายามสร้างความปรองดองระหว่างแคว้นกาตาลุญญากับแคว้นอื่น ๆ ยุติความขัดแย้งและการแบ่งแยก รวมถึงได้ดำเนินการอภัยโทษนักเคลื่อนไหวชาวกาตาลุญญา
สำหรับความคืบหน้าล่าสุด นรม.เปโดร ซานเชน พบหารือกับนาย Pere Aragones ผู้นำแคว้นกาตาลุญญาเป็นครั้งแรกเมื่อ 15 ก.ย.2564 ที่เมืองบาร์เซโลนา เมืองหลวงของแคว้นกาตาลุญญา เพื่อหาข้อตกลงร่วมที่จะนำไปสู่แก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองกรณีการเรียกร้องเอกราชของแคว้นกาตาลุญญา โดย นรม.ซานเชสระบุว่า การแก้ปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องอาศัยระยะเวลา อย่างไรก็ดี การพบหารือครั้งนี้มีความสำคัญในการสานต่อความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลสเปนและรัฐบาลแคว้นกาตาลุญญาต่อไป ขณะที่ฝ่ายแคว้นกาตาลุญญาต้องการผลประโยชน์จากความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับสเปน แต่ยังคงยืนยันการผลักดันการเรียกร้องเอกราชต่อไปเช่นกัน
ความสัมพันธ์ไทย-สเปน
สเปนเริ่มติดต่อกับไทยตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อ 23 ก.พ.2413 และลงนามในสนธิสัญญาทางไมตรีการพาณิชย์และการเดินเรือ มีแผนปฏิบัติการร่วมครอบคลุมทุกสาขาความร่วมมือที่มีศักยภาพระหว่างกัน ด้านการเมือง สเปนต้องการเพิ่มการติดต่อปฏิสัมพันธ์ระดับสูงกับไทยเพื่อกระชับความสัมพันธ์กับไทยในสาขาต่าง ๆ อาทิ นโยบายการเข้าเมือง การต่อต้านการก่อการร้าย และอาชญากรรมข้ามชาติ การปฏิรูปสหประชาชาติ การแก้ไขปัญหาความยากจนตามเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals-MDGs) ด้านเศรษฐกิจ สเปนกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือกับไทยในสาขาที่สเปนมีศักยภาพ ได้แก่ พลังงานทางเลือก การปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคม อุตสาหกรรม การเกษตร การผลิตไบโอดีเซล และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ด้านการทหาร ความร่วมมือทวิภาคีในด้านการฝึกอบรมทางทหาร ความช่วยเหลือพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ไทยให้ทันสมัย โดยเฉพาะกองทัพบก
ด้านการค้า เมื่อปี 2563 สเปนเป็นคู่ค้าอันดับ 34 ของไทยในตลาดโลก และอันดับ 6 ของไทยในตลาดกลุ่ม EU มีมูลค่าการค้า 44,002.03 ล้านบาท โดยไทยส่งออกมูลค่า 23,053.70 ล้านบาท และนำเข้ามูลค่า 20,948.33 ล้านบาท ไทยได้เปรียบดุลการค้า 2,105.37 ล้านบาท
สินค้าหลักที่ไทยส่งออก ได้แก่ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง รถยนต์และส่วนประกอบ ยางพารา รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ อัญมณีและเครื่องประดับ เส้นใยประดิษฐ์ เม็ดพลาสติก เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์
สินค้าหลักที่ไทยนำเข้า ได้แก่ เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ สินแร่โลหะ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ อุปกรณ์ยานยนต์ พืชและผลิตภัณฑ์จากพืช ผลิตภัณฑ์โลหะ สัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ น้ำมันสำเร็จรูป
ด้านการลงทุน เมื่อปี 2563 สเปนลงทุนในไทยผ่าน BOI จำนวน 3 โครงการ มูลค่ารวม 26 ล้านบาท
ข้อตกลงสำคัญ : ความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศ (6 ก.ย.2522) ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม (12 ธ.ค.2529) ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว (17 มี.ค.2530) สนธิสัญญาว่าด้วยความร่วมมือในการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาในคดีอาญาระหว่างไทย-สเปน (7 ธ.ค.2526) มีผลบังคับใช้เมื่อ 20 พ.ย.2530 ความตกลงด้านวัฒนธรรม (17 มี.ค.2530) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการส่งกำลังบำรุงระหว่างกระทรวงกลาโหมไทย-กระทรวงกลาโหมสเปน (18 ก.ค.2537) อนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงการรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 16 ก.ย.2541 แผนปฏิบัติการร่วมความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราผู้ถือหนังสือเดินทางทูต (7 ต.ค.2553) การลงนามในแผนปฏิบัติการร่วม (Joint Plan of Action) ครอบคลุมระยะเวลาตั้งแต่ปี 2553-2558 เพื่อส่งเสริมและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทย-สเปนในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสาขาที่ทั้งสองฝ่ายมีความสนใจร่วมกัน (7 ต.ค.2553) อนึ่ง ปัจจุบัน ทั้งสองฝ่ายไม่มีท่าทีที่จะจัดทำแผนปฏิบัติการร่วมฉบับใหม่แต่อย่างใด
ด้านการท่องเที่ยว เมื่อปี 2563 มีนักท่องเที่ยวสเปนเดินทางมาไทยจำนวน 26,409 คน ลดลงจากปี 2562 ที่มีจำนวน 188,995 คน
สถานการณ์สำคัญที่น่าติดตาม
การฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังจากวิกฤตโรค COVID-19 แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจสเปน (Recovery Plan) ได้รับการเห็นชอบจากจาก EU เมื่อห้วงกลาง ก.ค.2564 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการอุดหนุนจาก EU เพื่อช่วยเหลือประเทศสมาชิกในการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 แผนดังกล่าววางแนวทางอย่างครอบคลุมเพื่อการปรับปรุงเศรษฐกิจสเปนให้ทันสมัย กระตุ้นการเติบโต การสร้างงาน และเพื่อพร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคต ภายใต้แผนดังกล่าว รัฐบาลสเปนจะผลักดันการลงทุนภาครัฐมูลค่า 140,000 ล้านยูโรจนถึงปี 2569 เน้นเสาหลักการปฏิรูป 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อม ด้านดิจิทัล การเป็นหนึ่งเดียวทางสังคมและดินแดน และความเท่าเทียมกันทางเพศ ขณะที่การประเมินของธนาคารกลางสเปนเมื่อ 21 ก.ย.2564 คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสเปนปี 2564 จะเติบโต 6.3% สำหรับปี 2565-2566 จะเติบโตต่อเนื่องที่ 6.5% และ 7% ตามลำดับ