สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ
People’s Republic of Bangladesh
สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ
People’s Republic of Bangladesh
เมืองหลวง ธากา
ที่ตั้ง อยู่ทางตะวันออกของอนุทวีปเอเชียใต้ บริเวณเส้นละติจูดที่ 24 องศาเหนือ เส้นลองจิจูดที่ 90องศาตะวันออก มีพื้นที่ประมาณ 148,460 ตร.กม.
อาณาเขต ความยาวของเส้นพรมแดนทั้งหมด 4,413 กม.
ทิศเหนือ ตะวันออก ตะวันตก ติดกับอินเดีย (4,142 กม.)
ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ติดกับเมียนมา (271 กม.)
ทิศใต้ ติดกับอ่าวเบงกอล (580 กม.)
ภูมิประเทศ พื้นที่ส่วนใหญ่เกิดจากการทับถมของดินทราย มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การทำการเกษตร เป็นที่ราบลุ่มปากแม่น้ำที่สำคัญ 3 สาย ได้แก่ แม่น้ำคงคา พรหมบุตร และเมคนา (Meghna) พื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือเป็นที่ราบเชิงเขาขนาดใหญ่ ส่วนทางตะวันออกเฉียงใต้เป็นเทือกเขาสูง
วันชาติ 26 มี.ค. (ได้รับเอกราชจากปากีสถานตะวันตกเมื่อปี 2514)
ชีค ฮาซินา
Sheikh Hasina
(นรม.บังกลาเทศ)
ประชากร 165,267,995 คน (พ.ย.2563)
รายละเอียดประชากร ประกอบด้วยเชื้อสายเชื้อสายเบงกาลี 98% อื่น ๆ 2% อัตราส่วนประชากรจำแนกตามอายุ : วัยเด็ก (0-14 ปี) 26.75% วัยรุ่นถึงวัยกลางคน (15-64 ปี) 68.02% และวัยชรา (65 ปีขึ้นไป) 5.23% อายุขัยเฉลี่ยของประชากรโดยรวม 73.57 ปี เพศชายประมาณ 71.8 ปี เพศหญิงประมาณ 75.6 ปี อัตราการเกิด 21.6 คนต่อประชากร 1,000 คน อัตราการตาย 5.4 คนต่อประชากร 1,000 คน อัตราการเจริญเติบโตของประชากร 1%
การก่อตั้งประเทศ เดิมดินแดนของบังกลาเทศในปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของชมพูทวีป (อินเดีย) เคยมี
ความเจริญรุ่งเรืองทางศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธมาก่อน ต่อมาพ่อค้าชาวอาหรับได้นำศาสนาอิสลามเข้ามาเผยแพร่ จนกลายเป็นศาสนาหลักมาจนถึงทุกวันนี้ ชมพูทวีปตกเป็นอาณานิคมของสหราชอาณาจักรเมื่อปี 2300 และได้รับเอกราชเมื่อปี 2490 แต่ขณะนั้นบังกลาเทศยังเป็นส่วนหนึ่งของปากีสถาน เรียกว่าปากีสถานตะวันออก ต่อมาชาวเบงกาลีในปากีสถานตะวันออกไม่พอใจการบริหารงานของรัฐบาลกลาง ประกอบกับมีความแตกต่างด้านภาษา วัฒนธรรม และเชื้อชาติ ชาวเบงกาลีจึงจัดตั้งพรรคสันนิบาตอวามี (Awami League-AL) ขึ้นเมื่อปี 2492 เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาวเบงกาลี โดยมีชีค มูจิบูร ราห์มาน เป็นหัวหน้าพรรค
เมื่อปากีสถานตะวันออกประกาศแยกตัวจากปากีสถานตะวันตก ทำให้เกิดการสู้รบระหว่างปากีสถานตะวันออกกับตะวันตก โดยอินเดียส่งทหารเข้าไปช่วยปากีสถานตะวันออก จนปากีสถานตะวันออกสามารถแยกตัวเป็นเอกราช และจัดตั้งเป็นสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศเมื่อ 26 มี.ค.2514 โดยมีชีค มูจิบูร ราห์มาน ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรกของบังกลาเทศ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นบิดาผู้ก่อตั้งบังกลาเทศ (Father of the Nation)
การเมือง ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา มีประธานาธิบดีเป็นประมุข และมี นรม.เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร แบ่งเขตการปกครองเป็น 7 เขต
ฝ่ายบริหาร : มี นรม. เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร มีอำนาจควบคุมฝ่ายบริหาร กระทรวง ทบวง
กรมต่าง ๆ และเป็นผู้แต่งตั้ง รมต. และ ออท.ประจำประเทศต่าง ๆ
ฝ่ายนิติบัญญัติ : มีเพียงสภาเดียวคือ Jatiya Sangsad หรือสภาแห่งชาติ ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 300 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน มีวาระ 5 ปี หน้าที่สำคัญ คือ ออกกฎหมายและข้อมติ จัดให้มีการไต่สวนในเรื่องที่มีความสำคัญ และให้ความเห็นชอบเรื่องงบประมาณและภาษี
ฝ่ายตุลาการ : บังกลาเทศใช้ระบบศาลแบบสหราชอาณาจักร มีทั้งศาลแพ่งและศาลอาญา
โดยศาลฎีกาเป็นศาลสูงสุด ซึ่งแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ Appellate Division และ High Court Division และยังมี
ศาลระดับล่าง ได้แก่ District Courts Thana Courts และ Village Courts นอกจากนี้ ยังมีศาลพิเศษอื่น ๆ เช่น ศาลครอบครัว ศาลแรงงาน
พรรคการเมืองสำคัญ ได้แก่ 1) พรรคสันนิบาตอวามี (Awami League-AL) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลชุดปัจจุบันภายใต้การนำของ นรม.ชีค ฮาซินา 2) พรรคชาตินิยมบังกลาเทศ (Bangladesh National Party-BNP) ปัจจุบันเป็นฝ่ายค้าน นำโดยนางคาเลดา เซีย และ 3) พรรค Jama’at-e-Islami-JI ซึ่งเป็นพรรคการเมืองเคร่งจารีต ทั้งนี้ 2 พรรคแรกผลัดกันเป็นรัฐบาลและฝ่ายค้านมาตลอด เมื่อฝ่ายหนึ่งเป็นรัฐบาล ฝ่ายค้านก็พยายามชุมนุมประท้วงโค่นล้มรัฐบาล ส่งผลกระทบทำให้นโยบายของชาติขาดความต่อเนื่อง
เศรษฐกิจ ภาคเศรษฐกิจของบังกลาเทศขยายตัวอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2539 แม้ว่าจะประสบปัญหา
การขาดเสถียรภาพทางการเมือง การขาดแคลนสาธารณูปโภคพื้นฐาน การทุจริตคอร์รัปชัน และความล่าช้า
ในการปฏิรูปเศรษฐกิจ ทั้งนี้ บังกลาเทศพึ่งพาเศรษฐกิจหลัก 3 ภาค ได้แก่ ภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูป (คิดเป็น 80% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด) ภาคบริการและแรงงานในต่างประเทศ เศรษฐกิจบังกลาเทศเป็นระบบเศรษฐกิจการตลาด ให้ความสำคัญเรื่องเสรีภาพทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ โดยมีสหรัฐฯ เป็นผู้ลงทุนในลำดับต้น ๆ รองลงมา ได้แก่ มาเลเซีย ญี่ปุ่น และ สหราชอาณาจักร ควบคู่กับการส่งเสริมการส่งออก บังกลาเทศมีนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญ คือ วิสัยทัศน์ 2021 (2564) มุ่งเน้นการผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจเพื่อเพิ่ม GDP เป็น 10 % ลดอัตราความยากจน (ลดจำนวนประชากรที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนให้ได้ 15 % ของทั้งหมด) และพัฒนาระบบสาธารณูปโภค รวมทั้งยกระดับจากประเทศพัฒนาน้อยที่สุดไปเป็นประเทศรายได้ปานกลางภายในปี 2564 จุดแข็งในโครงสร้างเศรษฐกิจของบังกลาเทศ คือ แรงงานและทรัพยากรธรรมชาติราคาถูก ซึ่งส่งผลให้มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชีย
ปีงบประมาณ 1 ก.ค.-30 มิ.ย.
สกุลเงิน ตัวย่อสกุลเงิน : ตากา (Taka/BDT)
อัตราแลกเปลี่ยนต่อดอลลาร์สหรัฐ : 1 ดอลลาร์สหรัฐ : 84.47 ตากา
อัตราแลกเปลี่ยนต่อบาท : 1 บาท : 2.774 ตากา (พ.ย.2563)
ดัชนีเศรษฐกิจสำคัญ (ปี 2563)
ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) : 275,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ : 3.8%
ดุลบัญชีเดินสะพัด : ขาดดุล 348 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
รายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปี : 1,250 ดอลลาร์สหรัฐ
แรงงาน : 71,180,785 ล้านคน
รายได้จากแรงงานบังกลาเทศในต่างประเทศ : 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
อัตราการว่างงาน : 4.2%
อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย : 6.44%
ดุลการค้าระหว่างประเทศ : ขาดดุล 668.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
มูลค่าการส่งออก : 29,644 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สินค้าส่งออกสำคัญ : เสื้อผ้าสำเร็จรูป สินค้าถัก สินค้าเกษตร ปลาและอาหารทะเลแช่แข็ง ปอและผลิตภัณฑ์จากปอ และเครื่องหนัง
คู่ค้าสำคัญ : เยอรมนี สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร สเปน ฝรั่งเศส และอิตาลี
มูลค่าการนำเข้า : 54,460 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สินค้านำเข้าสำคัญ : ผ้าฝ้าย เครื่องจักรกลและอุปกรณ์ เคมีภัณฑ์ เหล็กและเหล็กกล้า และเครื่องบริโภค
คู่ค้าสำคัญ : จีน อินเดีย และสิงคโปร์
การทหาร กองทัพบังกลาเทศประกอบด้วย ทบ. ทร. และ ทอ. มีกำลังพลทั้งหมด 157,050 นายงบประมาณทางทหาร 3,159 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2562)
ทบ. มีกำลังพล 126,150 นาย ยุทโธปกรณ์สำคัญ ได้แก่ ถ.รบหลัก 644 คัน และ ถ.เบา 140 คัน ปืนใหญ่ 853 กระบอก ปืน ค.300 กระบอก บ.ขนส่ง 11 ลำ เครื่องยิงจรวดหลายลำกล้อง 22 เครื่อง จรวดแบบพื้นสู่อากาศ 21 เครื่อง และอากาศยาน 11 เครื่อง
ทร. มีกำลังพล 16,900 นาย ยุทโธปกรณ์สำคัญ ได้แก่ เรือฟริเกต 4 ลำ เรือคอร์เวต 8 ลำ และเรือตรวจการณ์นอกชายฝั่ง 6 ลำ มีฐานทัพเรืออยู่ในธากา จิตตะกอง แคปไตคุลนา และมังกลา
ทอ. มีกำลังพล 14,000 นาย ยุทโธปกรณ์สำคัญ ได้แก่ บ. 160 เครื่อง และ ฮ. 45 เครื่อง
นอกจากนี้ มีกองกำลังกึ่งทหาร 63,900 นาย แบ่งเป็นหน่วย รปภ. (Ansars) 20,000 นาย
หน่วยเคลื่อนที่เร็ว 5,000 นาย กกล.ป้องกันชายแดน (Border Guard Bangladesh-BGB) 38,000 นาย และหน่วยป้องกันชายฝั่ง 900 นาย
ปัญหาด้านความมั่นคง
1) ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างรัฐบาล พรรคสันนิบาตอวามี (Awami League-AL) กับกลุ่มฝ่ายค้าน นำโดยพรรคชาตินิยมบังกลาเทศ (Bangladesh Nationalist Party-BNP) ซึ่งไม่มีแนวโน้มจะคลี่คลาย ส่งผลให้เกิดความวุ่นวายจากการชุมนุมประท้วงเป็นระยะ ๆ และหลายครั้งเหตุการณ์บานปลายกลายเป็นเหตุรุนแรง ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัย ภาพลักษณ์ และการพัฒนาประเทศในระยะยาว
2) ปัญหาผู้อพยพชาวโรฮีนจาจากเมียนมายังคงเป็นปัญหาที่บังกลาเทศต้องแบกรับภาระ เนื่องจากไม่มีชาวโรฮีนจาสมัครใจยอมกลับเมียนมา โดยรัฐบาลบังกลาเทศตำหนิว่าปัญหาของกระบวนการส่งกลับผู้อพยพชาวโรฮีนจา คือ การไม่เชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัยในเมียนมา และสถานการณ์ที่ยังเปราะบาง ในรัฐยะไข่
3) ปัญหาชาวโรฮีนจายังนำไปสู่การขยายตัวของขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ และการลักลอบค้ายาเสพติด โดยเฉพาะยาบ้าที่ทวีจำนวนเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ทำกำไรสูง มีช่องทางลักลอบนำเข้าได้ง่าย (ผ่านด่านชายแดน 43 จุด) รวมทั้งมีการลักลอบผลิตยาบ้าอย่างกว้างขวางทั้งในฝั่งเมียนมาและในค่ายอพยพของชาวโรฮีนจาในบังกลาเทศ
4) ปัญหาการเป็นประเทศต้นทางและประเทศทางผ่านของขบวนการค้ามนุษย์ โดยแสวงประโยชน์จากผู้อพยพชาวโรฮีนจาและชาวบังกลาเทศที่มีฐานะยากจน ซึ่งปัจจุบันชาวโรฮีนจาที่อาศัยอยู่ใน ค่ายอพยพในเมืองค็อกบาซาร์ของบังกลาเทศพยายามหาช่องทางใหม่ในการลักลอบไปยังประเทศที่สามให้ซับซ้อนและได้ผลมากขึ้น โดยหันไปใช้เส้นทางทางบกและทางอากาศ ทำให้ฤดูกาลไม่เป็นอุปสรรคในการเดินทางอีกต่อไป
5) ปัญหาการขยายอิทธิพลของกลุ่มก่อการร้ายนอกภูมิภาค ได้แก่ Islamic State (IS) และข่ายงานของกลุ่มอัลกออิดะฮ์ในอนุทวีปอินเดีย (Al Qaeda in the Indian Subcontinent-AQIS)
ความสัมพันธ์ไทย-บังกลาเทศ
ไทยกับบังกลาเทศสถาปนาความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการเมื่อ 5 ต.ค.2515 และมีการร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในกรอบความร่วมมือภูมิภาคและในองค์การระหว่างประเทศต่าง ๆ อาทิ UN, ACD, ARF, ASEM โดยไทยให้ความช่วยเหลือด้านวิชาการแก่บังกลาเทศตลอดมา และยินดีที่บังกลาเทศสนใจจะยกระดับเป็นประเทศคู่เจรจาอาเซียน และเข้าร่วม East-West Economic Corridor และความร่วมมือแม่โขง-คงคา (Mekong-Ganges Cooperation) ส่วนบังกลาเทศให้ความสำคัญกับไทยในฐานะประเทศหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ บังกลาเทศเป็นมิตรประเทศในเอเชียใต้ที่ให้การสนับสนุนไทยในเวทีองค์การความร่วมมืออิสลาม (Organisation of Islamic Cooperation-OIC) ด้วยดีเสมอมา และ ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการแก้ไขปัญหาโรฮีนจา
ปริมาณการค้าไทย-บังกลาเทศยังอยู่ในระดับต่ำ แต่มีแนวโน้มว่านักธุรกิจไทยและบังกลาเทศ
ให้ความสนใจที่จะทำธุรกิจร่วมกันมากขึ้น กระทรวงพาณิชย์ของทั้งสองฝ่ายตั้งเป้าหมายการค้าระหว่างกันไว้ที่ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2564 โดยสนับสนุนให้มีการจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) เพื่อขยายการค้าและการลงทุนระหว่างกัน ซึ่งตามกระบวนการแล้วจำเป็นต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง โดยจะเริ่มจากการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำ FTA ไทย-บังกลาเทศก่อน
บังกลาเทศเป็นตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 6 % ต่อปี มีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะปอกระเจา ฝ้าย ชา ปัจจุบันบังกลาเทศเป็นคู่ค้าอันดับ 3 ของไทยในภูมิภาคเอเชียใต้ รองจากอินเดียและปากีสถาน โดยในปี 2561 การค้ารวมมีมูลค่า 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออก 1,256 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีสินค้าส่งออกสำคัญ เช่น ข้าว เม็ดพลาสติกและผลิตภัณฑ์พลาสติก ปูนซีเมนต์ ผ้าผืน เครื่องสำอางค์ เป็นต้น ส่วนไทยนำเข้าจากบังกลาเทศมูลค่า 61 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้านำเข้าสำคัญ เช่น เสื้อผ้าสำเร็จรูป และผลิตภัณฑ์สิ่งทออื่น ๆ
ข้อตกลงสำคัญระหว่างไทยกับบังกลาเทศ ได้แก่ ความตกลงทางการค้า (ปี 2520) ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางการประมง (ปี 2521) ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมการศึกษาและวิทยาศาสตร์ (ปี 2522) ความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน (เม.ย.2540) ความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน (ปี 2545) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งสภาธุรกิจร่วมไทย-บังกลาเทศ (ปี 2545) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางการเกษตร (ปี 2555) และการจัดตั้งกลไกการหารือทวิภาคีระหว่าง กต.ไทยกับบังกลาเทศ (ปี 2555)