สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ
United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland
สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ
United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland
เมืองหลวง ลอนดอน
ที่ตั้ง เป็นประเทศเกาะในมหาสมุทรแอตแลนติก ทางตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปยุโรป มีพื้นที่ 243,610 ตร.กม. ลักษณะของประเทศมีรูปร่างคล้ายสามเหลี่ยมฐานแคบ (ไม่รวมไอร์แลนด์เหนือ)
อาณาเขต
ทิศเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ ติดกับทะเลเหนือ
ทิศตะวันออกและทิศใต้ ติดกับช่องแคบอังกฤษ
ทิศตะวันตก ติดกับมหาสมุทรแอตแลนติก สำหรับแคว้น ไอร์แลนด์เหนือ มีพื้นที่ภาคพื้นดินติดกับสาธารณรัฐไอร์แลนด์และมีทะเล ไอริชกั้นระหว่างแผ่นดินใหญ่สหราชอาณาจักรกับแผ่นดิน ไอร์แลนด์เหนือ
ภูมิประเทศ ลักษณะของประเทศเป็นเกาะ แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1) บริเตนใหญ่ (Great Britain) ได้แก่ เกาะส่วนที่เป็นแคว้นอังกฤษเวลส์และสกอตแลนด์ และ 2) ไอร์แลนด์เหนือ นอกจากนี้ ยังประกอบด้วย หมู่เกาะเล็ก ๆ ประมาณ 5,500 เกาะโดยรอบ เช่น หมู่เกาะ Hebrides หมู่เกาะ Orkney และ Shetland หมู่เกาะ Wight หมู่เกาะ Scilly และหมู่เกาะ Anglesey
วันชาติ วันเสาร์ที่ 2 ของ มิ.ย.
Alexander Boris de Pfeffel Johnson
(นรม.สหราชอาณาจักร)
ประชากร 67,215,293 คน (ปี 2563) เพิ่มขึ้น 0.565% เป็นกลุ่มคนผิวขาว 86.0% กลุ่มคนเอเชีย 7.5% กลุ่มคนผิวดำ 3.3% ผสม 2.2% อื่น ๆ 1.0% อัตราส่วนประชากรจำแนกตามอายุ : วัยเด็ก (0-14 ปี) 17.677% วัยทำงาน (15-64 ปี) 63.669% วัยชรา (65 ปีขึ้นไป) 18.653% อายุขัยเฉลี่ย 81.205 ปี เพศชาย 79.4 ปี เพศหญิง 83.1 ปี อัตราการเกิด 10.7 คนต่อประชากร 1,000 คน อัตราการตาย 9 คนต่อประชากร 1,000 คน
การก่อตั้งประเทศ/วันชาติ สหราชอาณาจักรมีชื่อเต็มว่า สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ เป็นประเทศที่มีบทบาทนำด้านการเป็นประชาธิปไตยแบบรัฐสภาและความก้าวหน้าทางวรรณคดีและวิทยาศาสตร์จากการที่สหราชอาณาจักรมีดินแดนที่ประกอบขึ้นจากอดีตดินแดนอิสระ 4 แห่ง ได้แก่ อังกฤษ สกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ การรวมตัวเป็นอาณาจักรเช่นปัจจุบันจึงใช้เวลานับ 1,000 ปี โดยอังกฤษและเวลส์รวมตัวกับสกอตแลนด์อย่างเป็นทางการเมื่อปี 2250 และเรียกว่าสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ (United Kingdom of Great Britain) ต่อมาเมื่อปี 2344 ก็ได้ผนวกดินแดนทั้งหมดของเกาะไอร์แลนด์และจัดตั้งเป็นสหราชอาณาจักร บริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ (United Kingdom of Great Britain and Ireland) การรวมตัวดังกล่าวก่อให้เกิดการต่อต้านอย่างมากจากชาวไอริชชาตินิยม ในที่สุดชาวไอริชก็สามารถสถาปนารัฐเสรีไอร์แลนด์ (Irish Free State) ขึ้นเมื่อปี 2464 ซึ่งครอบคลุมอาณาเขตเกือบทั้งหมดของเกาะไอร์แลนด์ ยกเว้น 6 มณฑลทางตอนเหนือ การสถาปนาดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้นของการแยกตัวเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์ของไอร์แลนด์เมื่อปี 2480 ไอร์แลนด์ใต้จัดตั้งเป็นรัฐเอกราชมีชื่อเรียกว่า แอรา (Eire) และเมื่อปี 2492 ได้เปลี่ยนชื่อจากแอราเป็นไอร์แลนด์ และมีสถานภาพเป็นสาธารณรัฐอย่างเป็นทางการ อีกทั้งไม่สังกัดในเครือจักรภพ (Commonwealths of Nations) อีกต่อไป อย่างไรก็ดี 6 มณฑลทางตอนเหนือในเขตอัลสเตอร์ (Ulster) หรือไอร์แลนด์เหนือ (Northern Ireland) มิได้รวมตัวกับสาธารณรัฐ และยังคงเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ โดยมีชื่อเรียกรวมกันใหม่ว่า สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ ในสมัยศตวรรษที่ 19 สหราชอาณาจักรได้แผ่ขยายอิทธิพลและมีเมืองขึ้นครอบคลุมพื้นที่ถึง 1 ใน 4 ของโลก แต่หลังจากประเทศได้รับความเสียหายจากสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง และการแยกตัวเป็นเอกราชของไอร์แลนด์ใต้ อิทธิพลของสหราชอาณาจักรได้ลดทอนลงอย่างมาก
การเมือง ปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา โดยมีกษัตริย์เป็นประมุข ภายใต้รัฐธรรมนูญแบบไม่เป็นลายลักษณ์อักษร (Unwritten Constitution) มีระบบการกระจายอำนาจการปกครองให้แก่อังกฤษ เวลส์ สกอตแลนด์ และไอร์แลนด์เหนือ รัฐบาลกลางเป็นผู้ดูแลงานหลักเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ เศรษฐกิจ การต่างประเทศ และการป้องกันประเทศ ทั้งนี้ สถาบันกษัตริย์เป็นสถาบันที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศ กษัตริย์ทรงครองราชย์โดยความยินยอมพร้อมใจของรัฐสภา ปัจจุบัน สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบทที่ 2 ทรงเป็นประมุขของประเทศและเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นเอกภาพของชาติ
ฝ่ายบริหาร : นรม.เป็นหัวหน้ารัฐบาลและเป็นผู้แต่งตั้ง ครม. ปัจจุบันนายบอริส จอห์นสัน เป็น นรม. หลังจากนำพรรคอนุรักษ์นิยมชนะเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ 12 ธ.ค.2562 ด้วยคะแนนเสียงเด็ดขาดจำนวน 365 ที่นั่ง จากทั้งหมด 650 ที่นั่ง ทั้งนี้ สหราชอาณาจักรปรับ ครม. ครั้งสำคัญอย่างน้อย 7 จาก 23 กระทรวง เมื่อ ก.ย.2564 เพื่อให้รัฐบาลเป็นเอกภาพ ยกระดับประสิทธิภาพการทำงาน แก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจ และปรับภาพลักษณ์ของรัฐบาลจากกระแสวิจารณ์การทำงานไม่มีประสิทธิภาพ อาทิ การตอบสนองสถานการณ์ในอัฟกานิสถานที่ล่าช้า การรับมือวิกฤติโรคระบาดในสถานศึกษา และการทุจริต
ฝ่ายนิติบัญญัติ : ระบบ 2 สภา ได้แก่ สภาสูง (House of Lords) 618 ที่นั่ง และสภาผู้แทนราษฎร 650 ที่นั่งมาจากการเลือกตั้งวาระ 5 ปี พรรคอนุรักษ์นิยมเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากพรรคเดียว หลังจากชนะการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ 12 ธ.ค.2562 ด้วยคะแนนเสียงเด็ดขาดจำนวน 365 ที่นั่ง จากทั้งหมด 650 ที่นั่ง มากที่สุดของพรรคนับตั้งแต่ปี 2530 ขณะที่พรรคแรงงานมี 203 ที่นั่ง พรรคชาตินิยมสกอต (Scottish Nationalist Party-SNP) 48 ที่นั่ง พรรคเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democrat) 11 ที่นั่ง พรรค Democratic Unionist Party (DUP) 8 ที่นั่ง และพรรคอื่น ๆ 15 ที่นั่ง
ฝ่ายตุลาการ : สภาสูงทำหน้าที่เป็นศาลอุทธรณ์สูงสุด และมีศาลสูงของอังกฤษ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ
พรรคการเมือง : ระบบหลายพรรค ที่สำคัญได้แก่ พรรคอนุรักษ์นิยม (Conservative) พรรคแรงงาน (Labour) พรรคชาตินิยมสกอต (Scottish Nationalist Party-SNP) และพรรคเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democrat)
เศรษฐกิจ ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมผสมผสานกับการจัดระบบรัฐสวัสดิการ ภาคเอกชนมีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจ มีนโยบายเศรษฐกิจมุ่งให้บรรลุถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงและมีเสถียรภาพ ทำให้ประชากรมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น โอกาสการจ้างงานสูง ผลผลิตการเกษตรที่สำคัญ ได้แก่ ธัญพืช มันฝรั่ง พืชผักต่าง ๆ วัว แกะ สัตว์ปีก และปลา อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ อุปกรณ์เครื่องจักร อุปกรณ์ไฟฟ้า อุปกรณ์อัตโนมัติ อุปกรณ์สำหรับการเดินเส้นทางรถไฟ การต่อเรือ อากาศยาน ยานยนต์และชิ้นส่วนต่าง ๆ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และการสื่อสาร โลหะ เคมีภัณฑ์ ถ่านหิน ปิโตรเลียม ผลิตภัณฑ์จากกระดาษ การผลิตอาหาร สิ่งทอ เสื้อผ้า และสินค้าอุปโภคบริโภคต่าง ๆ ทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ ได้แก่ ถ่านหิน ปิโตรเลียม ก๊าซธรรมชาติ เหล็ก ตะกั่ว สังกะสี ทองคำ ดีบุก หินปูน ยิปซัม ปูนขาว ทราย ซิลิกา และหินชนวน
ทั้งนี้ สหราชอาณาจักรประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสหราชอาณาจักรเผชิญการแพร่ระบาดทั้งหมด 3 ระลอก ระลอกแรก เมื่อ มี.ค.-เม.ย.2563 จากเชื้อสายพันธุ์ดั้งเดิมเป็นสายพันธุ์แพร่ระบาดหลัก การแพร่ระบาดระลอกสอง เมื่อ พ.ย.2563-ม.ค.2564 จากเชื้อสายพันธุ์แอลฟา (B.1.1.7) และระลอกสาม เมื่อ มิ.ย.-ก.ค.2564 จากเชื้อสายพันธุ์เดลตา (B.1.617.1) ส่งผลให้สหราชอาณาจักรเป็นประเทศแรก ๆ ที่เปิดรับการเดินทางระหว่างประเทศ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการที่ได้รับผลกระทบจากโรค COVID-19
อย่างไรก็ดี การแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (EU) หรือ Brexit อย่างเป็นทางการเมื่อ 1 ม.ค.2564 ทำให้สหราชอาณาจักรเผชิญปัญหาการเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการระหว่างสหราชอาณาจักรกับประเทศสมาชิก EU เฉพาะอย่างยิ่งการตรวจลงตราบริเวณชายแดนไอร์แลนด์เหนือและข้อพิพาทประมงกับฝรั่งเศส นอกจากนี้ แรงงานจาก EU ยังประสบปัญหาในการขอวีซาเพื่อเข้ามาทำงานในสหราชอาณาจักร ส่งผลให้ สหราชอาณาจักรประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรมสำคัญ อาทิ พลังงาน สินค้าอุปโภคบริโภค เวชภัณฑ์ ปศุสัตว์ ทำให้สินค้าราคาแพงขึ้นและไม่เพียงพอต่อความต้องการ โดยสหราชอาณาจักรมีอัตราการว่างงานกว่า 1 ล้านตำแหน่ง ห้วง มิ.ย.-ส.ค.2564 ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในช่วง 20 ปี
สกุลเงิน ตัวย่อสกุลเงิน : ปอนด์สเตอร์ลิง (GBP)
อัตราแลกเปลี่ยนต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ : 1 GBP : 1.35 ดอลลาร์สหรัฐ
อัตราแลกเปลี่ยนต่อ 1 บาท : 1 GBP : 44.98 บาท (ต.ค. 2564)
ดัชนีเศรษฐกิจสำคัญ (ปี 2563)
ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) : 2.708 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ : -9.79%
รายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปี : 40,284 ดอลลาร์สหรัฐ
แรงงาน : 34,738,347 คน
อัตราการว่างงาน : 4.34%
อัตราเงินเฟ้อ : 0.85%
ดุลบัญชีเดินสะพัด: ขาดดุล 95,421 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
มูลค่าการส่งออก : 741,011 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สินค้าส่งออกสำคัญ : สินค้าสำเร็จรูป เชื้อเพลิง เคมีภัณฑ์ อาหาร เครื่องดื่ม และยาสูบ
มูลค่าการนำเข้า : 750,699 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สินค้านำเข้าสำคัญ : สินค้าสำเร็จรูป เครื่องจักร เชื้อเพลิง และอาหาร
คู่ค้าสำคัญ : สหรัฐฯ เยอรมนี ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ ไอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ และจีน
การทหาร งบประมาณด้านการทหารปี 2563 คิดเป็นมูลค่า 2.247% ของ GDP มีกำลังพล 148,500 นาย (ทบ. 83,650 นาย ทร. 33,050 นาย และ ทอ. 32,800 นาย) กำลังพลสำรอง 78,600 นาย
ปัญหาด้านความมั่นคง
1) การร่วมมือด้านความมั่นคงกับ EU หลังจาก Brexit
2) การจัดการกับพลเมืองสหราชอาณาจักรที่เข้าร่วมกับกลุ่ม Islamic State (IS) และต้องการเดินทางกลับประเทศ การป้องกันการก่อการร้ายโดยกลุ่มสุดโต่งทางศาสนาและกลุ่มขวาจัด
3) การเสริมสร้างความมั่นคงทางไซเบอร์และต่อต้านการก่อการร้ายทางไซเบอร์
4) ภัยคุกคามทางไซเบอร์และจารกรรมจากรัสเซียและจีน
5) การขยายอิทธิพลทางการเมือง เศรษฐกิจ และการทหารในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
ความสัมพันธ์ไทย-สหราชอาณาจักร
สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการเมื่อ 18 เม.ย.2398 แต่ทั้งสองฝ่ายมีปฏิสัมพันธ์กันยาวนานกว่านั้น โดยเพิ่งมีการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ครบรอบ 402 ปี เมื่อ 7 มี.ค.2558 นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ยังดำเนินไปอย่างราบรื่นและแน่นแฟ้นทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี มีการแลกเปลี่ยนการเยือนอย่างสม่ำเสมอ การเยือนครั้งล่าสุดของฝ่ายไทย คือ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.กต. เยือนกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ระหว่าง 13-14 ก.พ.2563 ฝ่ายสหราชอาณาจักร นายโดมินิก ราบ รมว.กต. เยือนไทยเพื่อร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ในฐานะแขกของประธานอาเซียน (ไทย) เมื่อ ส.ค.2562
ด้านการค้า เมื่อปี 2563 สหราชอาณาจักรเป็นคู่ค้าอันดับ 22 ของไทย และเป็นคู่ค้าอันดับ 4 ของไทยในยุโรปรองจากเยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และเนเธอร์แลนด์ มูลค่าการค้า อยู่ที่ 151,646 ล้านบาท ลดลง 22.32% ไทยส่งออก 95,563 ล้านบาท และนำเข้า 56,083 ล้านบาท ไทยได้เปรียบดุลการค้า 39,479 ล้านบาท
สินค้าส่งออกสำคัญของไทย ได้แก่ ไก่แปรรูป รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ แผงวงจรไฟฟ้า สินค้านำเข้าสำคัญของไทย ได้แก่ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องดื่มประเภทน้ำแร่ น้ำอัดลม และสุรา เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ สบู่ ผงซักฟอกและเครื่องสำอาง
ด้านการท่องเที่ยว เมื่อปี 2563 นักท่องเที่ยวสหราชอาณาจักรเดินทางมาไทยรวม 221,392 คน ลดลง 77.69% จากเมื่อปี 2562 ที่ 992,486 คน ซึ่งมีจำนวนมากเป็นอันดับ 2 ของยุโรป รองจากรัสเซีย ทั้งนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวสหราชอาณาจักรที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เป็นผลสืบเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 และมาตรการระงับการเดินทางระหว่างประเทศของสหราชอาณาจักร เพื่อป้องกันการนำเข้าเชื้อ
จำนวนคนไทยในสหราชอาณาจักร ประมาณ 71,000 คน (ต.ค.2560)
ด้านการศึกษา มีความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาในทุกระดับ โดย British Council (ประเทศไทย) เป็นหน่วยงานหลักของสหราชอาณาจักรที่ประสานโครงการความร่วมมือด้านการศึกษาต่าง ๆ กับหน่วยราชการของไทย
ข้อตกลงสำคัญ : ความตกลงว่าด้วยการบริการทางอากาศ (10 พ.ย.2493 แก้ไขเพิ่มเติมเมื่อ 28 ต.ค.2520 และ มิ.ย.2522) ความตกลงว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน (28 พ.ย.2521) อนุสัญญาว่าด้วยการยกเว้นภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีที่เก็บจากเงินได้ (18 ก.พ.2524) ความตกลงว่าด้วยการโอนตัวผู้กระทำผิดและความร่วมมือในการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาในคดีอาญา (22 ม.ค.2533) และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการส่งกำลังบำรุง (30 มี.ค.2536)
สถานการณ์สำคัญที่น่าติดตาม
1) การจัดการความสัมพันธ์ในอนาคตระหว่างสหราชอาณาจักรกับ EU หลังจาก Brexit โดยเฉพาะความสัมพันธ์ทางการค้าและหลักการเคลื่อนย้ายเสรีของพลเรือน เงินทุน สินค้า และแรงงาน
2) การคลี่คลายปัญหาความแตกแยกภายในประเทศ โดยเฉพาะสกอตแลนด์ที่ต้องการจัดลงประชามติรอบใหม่เพื่อแยกตัวเป็นเอกราชจากสหราชอาณาจักร และการฟื้นตัวของกลุ่มหัวรุนแรงในไอร์แลนด์เหนือ
3) การเป็นเป้าหมายก่อการร้ายโดยกลุ่มสุดโต่งทางศาสนาและกลุ่มขวาจัด
4) บทบาทของสหราชอาณาจักรในเวทีการเมืองและการค้าระหว่างประเทศหลังจาก Brexit รวมถึงบทบาทในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
5) การฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 และการแก้ไขปัญหาวิกฤติขาดแคลนแรงงาน สินค้า และพลังงาน
6) การสร้างบทบาทนำของสหราชอาณาจักรในด้านสิ่งแวดล้อมและป้องกันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ