“สุขภาพ (healthy) สิ่งแวดล้อม (environment) การทารุณกรรมต่อสัตว์ (Cruelty to Animals)” แนวคิดเหล่านี้ทำให้ผู้คนต่างเริ่มมีความคิดที่จะลดการบริโภคเนื้อสัตว์ลง และในขณะเดียวกันก็ทำให้พืชกลายเป็นทางเลือกในการบริโภคที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เนื่องจากการทำปศุสัตว์ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมาก ทั้ง “พื้นที่” ในการเลี้ยงและการเพาะปลูกพืชเป็นอาหารสัตว์ จนทำให้เกิดการขยายพื้นที่ปลูกข้าวโพดสำหรับผลิตอาหารสัตว์รุกคืบเข้าไปในพื้นที่ป่าในประเทศไทย ปัจจุบัน พื้นที่การเกษตรกว่า 80% เป็นพื้นที่สำหรับการเพาะปลูกพืชอาหารสัตว์ และท้ายที่สุดมักมีการทำเกษตรกรรมด้วยการปลูกพืชแบบเดิม ๆ ทำให้เกิดพื้นที่ “เขาหัวโล้น” มากกว่า 8.6 ล้านไร่ ดังนั้น…การตัดวงจรการสร้างเขาหัวโล้นดังกล่าวด้วยการหันมาบริโภคพืช จึงมีส่วนช่วยในการรักษาสภาพแวดล้อมได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะจะช่วยลดขั้นตอนการผลิต จากการปลูกพืชเพื่อเป็นอาหารสัตว์ ก็กลายเป็นการบริโภคพืชโดยตรง
นอกจากนี้ การรณรงค์เรื่องการบริโภคพืชแทนเนื้อสัตว์ยังสร้างความตระหนักรู้ในการเลือกวิธีการปลูกพืชที่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เพราะผู้บริโภคต้องการความมั่นใจว่าจะไม่มีสารพิษตกค้างอยู่ในอาหาร ไม่ว่าจะเริ่มตั้งแต่การใช้พืชตัดแต่งพันธุกรรม ปลูกบนพื้นที่ที่ราดด้วยยาฆ่าหญ้า เร่งการโตด้วยปุ๋ยเคมี และป้องกันด้วยยาฆ่าแมลง ซึ่งที่ผ่านมา…พืชที่เต็มไปด้วยสารเคมีเหล่านี้ถูกป้อนให้กับสัตว์จำนวนมากเพื่อทำน้ำหนักให้โตไว และกลายมาเป็นเนื้อสัตว์บนโต๊ะอาหารของเรา แม้ผู้ผลิตจะยืนยันว่าสัตว์เหล่านั้นได้รับการเลี้ยงดูอย่างปลอดภัย แต่อาหารสัตว์ก็ยังมีสารเคมีปนเปื้อนอยู่ดี ในทางกลับกัน….การเลือกบริโภคผักปลอดสารพิษทำให้เราได้รับสารพิษจากกระบวนการผลิตวัตถุดิบลดลง ผู้คนจึงนิยมที่จะบริโภคพืชผักกันมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ปลูกโดยวิธีธรรมชาติ ปลอดสารเคมี เพื่อความปลอดภัยทางอาหาร (food safety) และการบริโภคพืชผักเป็นหลักจะช่วยทำให้ร่างกายดูดซับสารอาหารและย่อยได้ง่ายกว่า ทำให้สุขภาพดีขึ้นด้วย
เมื่อค่านิยมในการบริโภคอาหารเปลี่ยนไป ความต้องการเนื้อสัตว์ลดลงสวนทางกับความต้องการบริโภคโปรตีนทางเลือกจากพืช (plant-based protein) ที่เพิ่มขึ้น นั่นหมายความว่า ชนิดของพืชที่ปลูกเพื่อการบิรโภคกำลังจะเปลี่ยนแปลงไป โดย “พืชตระกูลถั่ว” ได้รับความนิยมมากขึ้นทั้งทางการตลาด และการรักษาสิ่งแวดล้อม เพราะพืชตระกูลถั่วมีคุณสมบัติที่ดีต่อสุขภาพมนุษย์ สุขภาพสิ่งแวดล้อม และสุขภาพป่าไม้
พืชตระกูลถั่ว มีระบบรากหรือปมรากที่ทำให้สามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศมาไว้ได้ และเมื่อย่อยสลายจะช่วยเติมไนโตรเจนซึ่งเป็นธาตุอาหารสำคัญของพืช ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูแร่ธาตุอาหารในดินไปด้วยระหว่างการเพาะปลูก แม้ว่าอาจจะต้องการใช้น้ำในการเพาะปลูกมากกว่าพืชชนิดอื่น ๆ แต่ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันและภูมิปัญญาในอดีตที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว ทำให้มีวิธีในการกักเก็บน้ำฝน และใช้น้ำอย่างประหยัด เช่น การทำฝาย เพาะปลูกในลักษณะของขั้นบันได คล้ายนาขั้นบันได การสร้างแหล่งกักเก็บน้ำ และการควบคุมการให้น้ำอย่างประหยัดเพื่อให้มีน้ำเพียงพอตลอดทั้งปี ก็จะเปลี่ยนรูปแบบจากการถางป่าปลูกข้าวโพดอาหารสัตว์ เป็นการปลูกธัญพืชที่มีความหลากหลาย มูลค่าผลผลิตต่อไร่ที่สูงขึ้นก็จะสร้างรายได้ให้เกษตรกรได้มากขึ้น ใช้พื้นที่ปลูกลดลง เหลือพื้นที่ส่วนหนึ่งคืนกลับให้เป็นป่า
การลดพื้นที่ปลูกพืชเกษตรกรรมที่เป็นผลจากการลดการบริโภคเนื้อสัตว์ ยังนำไปสู่ “การรักษาป่าต้นน้ำ” หรือการใช้ต้นไม้ในการดูดซับน้ำลงดิน เก็บน้ำไว้ใต้ดิน และน้ำใต้ดินจะค่อยๆ ผุดออกมาเป็นตาน้ำไหลเป็นแหล่งน้ำได้ตลอดทั้งปี ซึ่งหากประเทศไทยที่เป็นประเทศเกษตรกรรม ต้องการมีน้ำไว้ใช้ทำเกษตรตลอดทั้งปี ก็จำเป็นต้องรักษาป่าต้นน้ำ หรือรักษาฟื้นป่า ไม่ว่าจะด้วยการลดพื้นที่เพาะปลูก และปลูกป่าทดแทน เพื่อให้ได้ประโยชน์กลับมาในด้านของการเกษตรด้วย นอกจากนี้ ความหลากหลายทางชีวภาพของพันธุ์ไม้ในป่าทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ และเป็นผลดีต่อธัญพืชที่ปลูกในบริเวณใกล้เคียงเสมอ การรักษาป่าจึงเหมือนการใช้ปุ๋ยอินทรีย์และลดการใช้ปุ๋ยเคมีได้
ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า การลดบริโภคเนื้อสัตว์และหันมาบริโภคโปรตีนทางเลือก (Alternative Protein) มีส่วนช่วยในการฟื้นฟูระบบนิเวศ และเป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะช่วยเปลี่ยนวิถีการทำเกษตรให้มุ่งสู่การทำเกษตรอย่างยั่งยืน
ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะกับการเพาะปลูก นอกจากนี้ ไทยยังขึ้นชื่อเรื่องอาหาร plant base protein จึงเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่เราสามารถทำให้ดีและโดดเด่นได้ ทั้งในการสร้างภาพลักษณ์ของอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยถือว่า…เป็นการพัฒนา “ครัวของโลก” ไปอีกขั้น เข้ากับสถานการณ์…ปรับตัวให้เข้ากับความต้องการ และชี้นำแนวทางการบริโภคที่ยั่งยืนแก่ผู้บริโภคทั้งหลายทั่วโลก
…………………………………………………………