ในตอนแรก เรามาดูกันก่อนว่า อาการเศรษฐกิจจีนมันเป็นยังไงบ้าง และเศรษฐกิจจีนจะไปในทิศทางไหน ในห้วงการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์ชุดที่ 20 ในเดือนตุลาคม–พฤศจิกายน 2565 ซึ่งปีนี้เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงสำคัญทางการเมืองของสี จิ้นผิง ว่าจะดำรงตำแหน่งผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ในสมัยที่ 3 หรือไม่
ที่จริงแล้ว สี จิ้นผิงให้ความสำคัญกับการรักษาความมั่งคั่งเพื่อสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางการเงิน รวมทั้งสวัสดิภาพทางสังคมของจีนไม่ให้หยุดชะงักในปีสำคัญของเขาอย่างมาก โดยเราได้เห็นนโยบายทางเศรษฐกิจสำคัญเมื่อปี 2564 หลายอย่าง ทั้งการผลักดันแนวคิด “ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน” ที่มีเป้าหมายสร้างความเท่าเทียมในสังคมจีน ด้วยการเพิ่มการกำกับดูแลภาคเอกชน บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ที่มีแนวโน้มครอบงำตลาดมากเกินไป และแผนการปรับขนาดและลดบทบาทของรัฐวิสาหกิจจีน รวมทั้งส่งเสริมการพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ
ขณะเดียวกัน จีนพยายามจัดการกับชะตากรรมของ Evergrande Group ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีปัญหาหนี้มากกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะนี้บริษัทดังกล่าวได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนปัญหาหนี้ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์จีนไปแล้ว ซึ่งภาคอสังหาริมทรัพย์จีนมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจจีนอย่างมาก เพราะคิดเป็น 29% ของ GDP จีน อันที่จริง ยังมีบริษัทอสังหาริมทรัพย์จีนมากกว่า 10 แห่ง ที่ได้ผิดนัดชำระหนี้ตั้งแต่ปีที่แล้ว รวมทั้ง Kaisa Group ที่มีหนี้สินรวม 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นบริษัทที่ออกหุ้นกู้ต่างประเทศขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจาก Evergrande Group
สำหรับในปี 2565 ตัวเลขทางเศรษฐกิจ ชี้ให้เห็นว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนกำลังชะลอตัว โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดการเติบโตเศรษฐกิจจีนประจำปี 2565 ลงเหลือ 4.4% จากการกำหนดมาตรการล็อกดาวน์ และวิกฤตการณ์รัสเซีย-ยูเครน ซึ่งเป็นการปรับลดครั้งที่ 2 ของ IMF ในรอบ 3 เดือน แม้ว่าทางการจีนจะตั้งเป้าการเติบโตเศรษฐกิจปีนี้ไว้ที่ 5.5% ขณะที่สถาบันการเงินเอกชนหลายแห่งก็ประเมินเศรษฐกิจจีนเชิงลบไม่ต่างกัน เช่น Nomura แจ้งเตือนว่านโยบายคงผู้ติดเชื้อ COVID-19 เป็นศูนย์ของจีน เป็นปัจจัยฉุดรั้งการเติบโตลดลงเหลือ 3.9% ในปี 2565 ขณะที่ตัวเลขของสถาบัน Caixin ของจีนก็ชี้ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ซึ่งเป็นตัวชี้การขยายตัว/หดตัวของการผลิตและบริการในภาพรวม ลดลงในระดับที่ 36.2 เมื่อเมษายน 2565 ซึ่งลดลงจาก 42 เมื่อมีนาคม 2565 และต่ำสุดตั้งแต่ปี 2548
ขณะที่ทางการจีนได้แก้เกม ด้วยการออกมาตรการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมและบริษัทขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 แล้ว เช่น ลดหย่อนภาษีและค่าธรรมเนียมต่างๆ และสนับสนุนการพัฒนาตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ยั่งยืน แต่สถาบันการเงินหลายแห่งประเมินว่า มาตรการเหล่านี้ยังคงไม่เพียงพอต่อการรับมือกับนโยบายควบคุม COVID-19 ที่เข้มงวดของจีน และยังต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งก่อนมาตรการเหล่านั้นจะบรรลุผลได้จริง
ในตอนที่ 2 เราจะมาทบทวนกันว่า อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจจีน ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกชะลอตัว ?? นโยบายการคงผู้ติดเชื้อ COVID-19 เป็นศูนย์ แล้ววิกฤตการณ์รัสเซีย-ยูเครน จะส่งผลกระทบต่อความมั่งคั่งของจีนอย่างไรบ้าง
————————