สาธารณรัฐอินโดนีเซีย
Republic of Indonesia
เมืองหลวง กรุงจาการ์ตา
ที่ตั้ง ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในแนวเส้นศูนย์สูตร ระหว่างมหาสมุทรอินเดียทางทิศใต้กับมหาสมุทรแปซิฟิกทางทิศเหนือ ซึ่งทำให้อินโดนีเซียคุมเส้นทางการติดต่อระหว่างมหาสมุทรทั้งสองผ่านช่องแคบที่สำคัญ ได้แก่ มะละกา ซุนดา และลอมบ็อก
อาณาเขต พื้นที่ 1,904,569 ตร.กม. เป็นแผ่นดิน 1,811,569 ตร.กม. (ใหญ่ประมาณ 3.7 เท่าของไทย) เป็นพื้นที่ทะเล 93,000 ตร.กม. มีแนวเขตแดนทางบกยาว 2,958 กม. ติดกับมาเลเซีย (ด้านรัฐซาราวักและ รัฐซาบาห์) ระยะทาง 1,881 กม. ติมอร์เลสเต 253 กม. และปาปัวนิวกินี 824 กม. ชายฝั่งยาว 54,716 กม.
ภูมิอากาศ ร้อนชื้นแบบศูนย์สูตร ความชื้นระหว่าง 70-90% มี 2 ฤดู : ฤดูร้อนระหว่าง พ.ค.-ต.ค. และฤดูฝนระหว่าง พ.ย-เม.ย. อุณหภูมิชายฝั่งเฉลี่ย 28 องศาเซลเซียส ภาคพื้นดินภายในประเทศและภูเขาเฉลี่ย 26 องศาเซลเซียส และแถบภูเขาสูงเฉลี่ย 23 องศาเซลเซียส
ภูมิประเทศ เป็นประเทศหมู่เกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก มี 18,110 เกาะ แต่มีผู้อยู่อาศัยประมาณ 6,000 เกาะ ประกอบด้วย 5 เกาะหลัก ได้แก่ กาลิมันตัน (539,460 ตร.กม.) สุมาตรา (473,606 ตร.กม.) ปาปัว (เป็นส่วนหนึ่งของเกาะนิวกินีมีพื้นที่ 421,981 ตร.กม.) สุลาเวสี (189,216 ตร.กม.) และชวา (132,107 ตร.กม.) ที่เหลือเป็นหมู่เกาะขนาดเล็กประมาณ 30 หมู่เกาะ มีภูเขาไฟประมาณ 400 ลูก เป็นภูเขาไฟที่ยังมีพลัง 127 ลูก
ศาสนา อิสลาม 87.2% คริสต์ 9.87% ฮินดู 1.69% พุทธ 0.72% ประชากรมุสลิมส่วนใหญ่เป็นมุสลิมสายกลาง เนื่องจากสังคมประกอบด้วยประชากรหลายศาสนา รัฐบาลอินโดนีเซียจึงกำหนดให้วันสำคัญ ของศาสนาอิสลาม คริสต์ ฮินดู พุทธ และตรุษจีนเป็นวันหยุดของชาติ
ภาษา ภาษาทางการ คือ ภาษาอินโดนีเซีย ส่วนภาษาต่างประเทศที่ใช้กันมากที่สุด คือ ภาษาอังกฤษ และอีกประมาณ 700 ภาษาที่เป็นภาษาท้องถิ่นหรือภาษาตามชาติพันธุ์ต่าง ๆ
การศึกษา อัตราการรู้หนังสือของประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป 96% การศึกษาขั้นพื้นฐาน (ระดับประถมและมัธยมต้น) 9 ปี เป็นการศึกษาภาคบังคับไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย โดยเริ่มตั้งแต่อายุ 6 ปี โรงเรียนสามารถใช้ภาษาท้องถิ่นเป็นสื่อในการสอนเพื่อให้เกิดความเข้าใจเบื้องต้นได้หากมีความจำเป็น รวมทั้งการศึกษาด้านศาสนาที่นักเรียนนับถือโดยผู้สอนที่นับถือศาสนาเดียวกัน
วันชาติ 17 ส.ค.
นายโจโก วิโดโด
Joko Widodo
(ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย)
ประชากร 279,476,346 คน (ต.ค.2566) มากเป็นอันดับที่ 4 ของโลก รองจากจีน อินเดีย และสหรัฐฯ คิดเป็น 3.51% ของประชากรโลก อัตราการเพิ่มขึ้น 0.76% อัตราส่วนประชากรจำแนกตามอายุ : อายุ 0-14 ปี 24.22% อายุ 15-64 ปี 68.1% อายุ 65 ปีขึ้นไป 7.68% อายุขัยเฉลี่ย 73.33 ปี ชาย 71.1 ปี หญิง 75.68 ปีประชากร 58.6% อาศัยอยู่ในเขตเมือง อินโดนีเซียมีกลุ่มชาติพันธุ์ประมาณ 300 กลุ่ม เป็นชาวชวา 40.1% ซุนดา 15.5% มาเลย์ 3.7% บาตัก 3.6% มาดูรา 3% และชาติพันธุ์อื่น ๆ 34% ซึ่งรวมจีนด้วยประมาณ 2%
การก่อตั้งประเทศ ที่ตั้งของอินโดนีเซียเป็นเส้นทางแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม การค้า และศาสนาที่สำคัญของภูมิภาค และเป็นที่ตั้งของหลายอาณาจักรทั้งฮินดู พุทธ และอิสลาม ก่อนตกเป็นเมืองขึ้นของโปรตุเกส สเปน เนเธอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักรในยุคล่าอาณานิคม เนื่องจากอินโดนีเซียมีเครื่องเทศมากจึงถูกเรียกว่า “หมู่เกาะเครื่องเทศ” ญี่ปุ่นบุกยึดอินโดนีเซียในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อน อินโดนีเซียตกเป็นของเนเธอร์แลนด์อีกครั้ง การสถาปนาเป็นประเทศอินโดนีเซียเริ่มจากการต่อสู้แยกตัวเป็นเอกราชในนาม สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของรัฐที่เป็นอิสระในการปกครองตนเองจำนวน 15 รัฐ โดยประกาศเอกราชเมื่อ 17 ส.ค.2488
การเมืองเป็นรัฐเดี่ยวในระบอบประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐ (เป็นประเทศประชาธิปไตยใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก) แบ่งการปกครองเป็น 34 จังหวัด อุดมการณ์ทางการเมืองมีทั้งชาตินิยม และนิยมอิสลามแต่อยู่บนหลักการปัญจศีลและหลักนิยมทางสังคม
ปัญจศีลเป็นอุดมการณ์และปรัชญาขั้นพื้นฐานของประเทศ 5 ประการ คือ 1) เชื่อในพระเจ้าองค์เดียว 2) เป็นมนุษย์ที่ยุติธรรมและมีอารยธรรม 3) เอกภาพของอินโดนีเซีย 4) ประชาธิปไตยอันเกิดจากปัญญาและความรู้ของผู้แทนบนความเห็นเป็นเอกฉันท์ และ 5) ความเป็นธรรมทางสังคมเพื่อประชาชนทุกคนของอินโดนีเซีย
หลักนิยมทางสังคม คือ 1) มุชาวะเราะฮ์ : การปรึกษาหารือกัน 2) โกตองโรยอง : การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน 3) มุฟากัต : การยอมรับและปฏิบัติตามการตัดสินใจของที่ประชุม และ 4) บีเนกาตุงกัลอีกา : เอกภาพในความหลากหลาย
ฝ่ายบริหาร : มีประธานาธิบดีเป็นประมุขและหัวหน้ารัฐบาล มาจากการเลือกตั้งโดยตรง (ครั้งแรกเมื่อปี 2547) วาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี ไม่เกิน 2 วาระ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองและการกระจายอำนาจเพื่อให้จังหวัดต่าง ๆ สามารถบริหารตนเองได้ จึงมีการเลือกตั้งหัวหน้าฝ่ายบริหารและสภานิติบัญญัติในท้องถิ่นตั้งแต่ระดับจังหวัดลงมาถึงระดับอำเภอหรือเทศบาล
การเลือกตั้งประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ผู้ลงสมัครจะต้องถูกเสนอชื่อจากพรรคการเมืองหรือกลุ่มพรรคการเมืองที่เป็นพันธมิตรต้องมี สส.รวมกันไม่น้อยกว่า 20% (112 คน) จากจำนวน สส.ทั้งหมด 560 คน หรือได้คะแนนเสียง (Popular Vote) ไม่น้อยกว่า 25% ของจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง โดยพรรคการเมือง
จะเสนอชื่อผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีพร้อมกัน ในการเลือกตั้งทั้งคู่ต้องได้รับคะแนนเสียงข้างมากหรือ 50% ขึ้นไปในครั้งแรก แต่หากไม่มีคู่ใดได้คะแนนเสียงตามที่กำหนดให้ลงคะแนนเสียงใหม่ในรอบที่ 2
การเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อ 17 เม.ย.2562 ประธานาธิบดีโจโก วิโดโด สังกัดพรรค Indonesian Democratic Party-Struggle (PDI-P) ชนะนายปราโบโว ซูเบียนโต ผู้นำฝ่ายค้านด้วยคะแนนเสียง 55.5% ต่อ 45.5% ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สอง และสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง เมื่อ 20 ต.ค.2562 การเลือกตั้งครั้งต่อไปกำหนดจัดในปี2567
ฝ่ายนิติบัญญัติ : รัฐสภาหรือสภาที่ปรึกษาประชาชน (Majelis Permusyawaratan Rakyat-MPR) ประกอบด้วย สส. (Dewan Perwakilan Rakyat-DPR) 560 คน มาจากการเลือกตั้งทั่วไป และสมาชิกของสภาผู้แทนจังหวัด (Dewan Perwakilan Daerah-DPD) 132 คน (เลือกตั้งจังหวัดละ 4 คน) MPR มีอำนาจหน้าที่ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมทั้งพิจารณาถอดถอนประธานาธิบดีและ/หรือรองประธานาธิบดี
ฝ่ายตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ : เป็นองค์กรอิสระมีอำนาจหน้าที่ในการวินิจฉัยชี้ขาดการพิจารณาตรวจสอบกฎหมายที่ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ ข้อขัดแย้งเกี่ยวกับหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญ การยุบพรรคการเมือง ข้อขัดแย้งเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งทั่วไป และวินิจฉัยชี้ขาดความเห็นของ DPR ที่ยื่นเสนอขอถอดถอนประธานาธิบดีหรือรองประธานาธิบดี
พรรคการเมือง : อินโดนีเซียมีพรรคการเมืองจำนวนมาก ที่สำคัญ ได้แก่ พรรค Indonesian Democratic Party-Struggle (PDI-P) พรรค Golkar พรรค Democratic Party (PD) และพรรค Gerindra และยังมีพรรคการเมืองที่มีฐานมาจากกลุ่มอิสลาม หรือมีแนวทางนิยมอิสลามหลายพรรค เช่น พรรค National Mandate Party (PAN) พรรค National Awakening Party (PKB) พรรค Prosperous Justice Party (PKS) พรรค United Development Party (PPP)
การเลือกตั้ง สส. เมื่อ 17 เม.ย.2562 มีพรรคการเมืองที่มีที่นั่งใน DPR 10 พรรค โดยพรรค PDI-P ของนางเมกวาตี ซูการ์โนปุตรี อดีตประธานาธิบดี (ระหว่างปี 2544-2547) มีมากที่สุด 128 ที่นั่ง รองลงมา คือ พรรค Golkar 85 ที่นั่ง พรรค Gerindra 78 ที่นั่ง พรรค Nasdem 59 ที่นั่ง พรรค PKB 58 ที่นั่ง พรรค PD 54 ที่นั่ง พรรค PKS 50 ที่นั่ง พรรค PAN 44 ที่นั่ง พรรค PPP 19 ที่นั่ง
เศรษฐกิจ ระบบเศรษฐกิจเสรีที่ใช้กลไกตลาด มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลไกขับเคลื่อนมาจากการบริโภคภายในประเทศ เนื่องจากมีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบัน เริ่มให้ความสำคัญกับการลงทุนจากต่างประเทศและการส่งออก
ช่วงปี 2551-2555 เศรษฐกิจอินโดนีเซียเติบโตอย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 6% (ยกเว้นปี 2552 ซึ่งขยายตัวเพียง 4.6% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก) ระหว่างปี 2556-2562 การขยายตัวทางเศรษฐกิจลดลงเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5% เนื่องจากการบริโภคภายในซึ่งเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักของประเทศยังไม่ฟื้นตัว ประกอบกับสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น สินแร่และปาล์มน้ำมัน ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักของอินโดนีเซียมีราคาตกต่ำ ปี 2563 อินโดนีเซียได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 เศรษฐกิจจึงชะลอตัว ก่อนกลับมาฟื้นตัวในระดับใกล้เคียงกับห้วงการสถานการณ์ COVID-19 ตั้งแต่ห้วงปลายปี 2565 โดยได้รับแรงหนุนจากการบริโภคภายในประเทศ การส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ถ่านหิน น้ำมันปาล์ม เหล็กและเหล็กกล้า ได้เพิ่มขึ้นและมีราคาสูง
นโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญ แผนแม่บทพัฒนาเศรษฐกิจอินโดนีเซียปี 2554-2568 (Master Plan for Acceleration and Expansion of Indonesia Economic Development 2011-2025 หรือ MP3EI) มีหลักการสำคัญ คือ เร่งรัดและขยายการพัฒนาเศรษฐกิจของอินโดนีเซียให้มีขนาดใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลกภายในปี 2568 และตั้งเป้าให้ประชากรมีรายได้ต่อหัวประมาณ 14,250-15,000 ดอลลาร์สหรัฐ GDP มีมูลค่า 4.0-4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และอัตราเงินเฟ้อลดลงเหลือ 3% ภายในปี 2568 นอกจากนี้ อินโดนีเซียตั้งเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สกุลเงิน ตัวย่อสกุลเงิน : รูเปียะฮ์ (Rupiah-IDR)
อัตราแลกเปลี่ยนต่อดอลลาร์สหรัฐ : 15,735 รูเปียะฮ์ต่อ 1 ดอลลลาร์สหรัฐ (ต.ค.2566)
อัตราแลกเปลี่ยนต่อบาท : 432.88 รูเปียะฮ์ต่อ 1 บาท (ต.ค.2566)
ดัชนีเศรษฐกิจสำคัญ (ปี 2565)
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) : 1,320,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ : 5.3%
รายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปี : 4,788 ดอลลาร์สหรัฐ
แรงงาน : 138.63 ล้านคน
อัตราการว่างงาน : 3.6%
อัตราเงินเฟ้อ : 4.2%
ผลผลิตทางการเกษตร : น้ำมันปาล์ม ข้าว ข้าวโพด อ้อย มะพร้าว มันสำปะหลัง กล้วย ไข่ สัตว์ปีก ยางพารา
ผลผลิตอุตสาหกรรม : ปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติ สิ่งทอ ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องนุ่งห่ม รองเท้า เหมืองแร่ ซีเมนต์ เครื่องมือและเครื่องใช้ทางการแพทย์ หัตถกรรม ปุ๋ยเคมี ไม้อัด ยางพารา อาหารแปรรูป เครื่องประดับ และการท่องเที่ยว
ดุลการค้าระหว่างประเทศ : เกินดุล 54,457 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
มูลค่าการส่งออก : 291,904 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สินค้าส่งออก : ถ่านหิน น้ำมันปาล์ม ก๊าซธรรมชาติ รถยนต์ ทอง
คู่ค้าส่งออกที่สำคัญ : จีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ อินเดีย มาเลเซีย
มูลค่าการนำเข้า : 237,447 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สินค้านำเข้า : ปิโตรเลียมกลั่น ปิโตรเลียมดิบ ชิ้นส่วนยานยนต์ โทรศัพท์ ก๊าซธรรมชาติ
คู่ค้านำเข้าที่สำคัญ : จีน สหรัฐฯ มาเลเซีย สิงคโปร์ ไทย เกาหลีใต้
คู่ค้าสำคัญ : จีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น อินเดีย สิงคโปร์
ทรัพยากรธรรมชาติ : ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน ทอง ทองแดง สังกะสี นิกเกิล ป่าไม้
การทหาร กองทัพแห่งชาติอินโดนีเซีย (Tentara Nasional Indonesia-TNI) ถูกจัดอันดับให้เป็นกองทัพที่มีแสนยานุภาพอันดับหนึ่งของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดย Global firepower เป้าหมายทางการทหารอินโดนีเซียคือต้องการปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัย และคงกำลังพลเท่าที่จำเป็น (Minimum Essential Force-MEF) ภายในปี 2567 ส่วนงบประมาณการป้องกันประเทศปี 2565 อยู่ที่ 9,060 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
อินโดนีเซียจัดตั้งรัฐวิสาหกิจขึ้นใหม่ในชื่อ Defense Industry Indonesia หรือ Defend ID เมื่อ เม.ย.2565 รับผิดชอบด้านการพัฒนาระบบอาวุธและผลิตยุทโธปกรณ์ด้วยตนเองโดยตรง ซึ่งเป็นการรองรับนโยบายลดการพึ่งพาต่างชาติในการจัดหาอาวุธและยุทโธปกรณ์ ทั้งนี้ Defend ID มีหน้าที่กำกับดูแลรัฐวิสาหกิจที่ผลิตอาวุธและอุตสาหกรรมทางทหาร ในภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง 4 แห่ง ได้แก่ ผู้ต่อเรือ PAL Indonesia ผู้ผลิตเครื่องบิน Dirgantara Indonesia ผู้ผลิตวัตถุระเบิด Dahana และผู้ผลิตรถถังและอาวุธ Pindad
กำลังพลรวม : 395,500 นาย แบ่งเป็น ทบ. 300,400 นาย ทร. 65,000 นาย ทอ. 30,100 นาย และ ตร. และกองกำลังเสริม 280,000 นาย กำลังสำรอง 400,000 นาย
ยุทโธปกรณ์สำคัญ : รถถัง 453 คัน รถรบทหารราบ 64 คัน ยานลำเลียงหุ้มเกราะ 834 คัน ปืนใหญ่อัตตาจร 74 กระบอก ปืนใหญ่ลากจูง 356 กระบอก ปืน ค. 875 กระบอก ปืนไร้แรงสะท้อนถอยหลัง 135 กระบอก ปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน 415 กระบอก ขีปนาวุธพื้นสู่อากาศ 93 ชุดยิง เรือดำน้ำชั้น Cakra 2 ลำ ชั้น Nagapasa 2 ลำ เรือฟริเกต 11 ลำ เรือคอร์เวต 20 ลำ เรือตรวจการณ์ชายฝั่ง 116 ลำ เรือยกพลขึ้นบก 30 ลำ เครื่องบินขับไล่ 41 เครื่อง เครื่องบินโจมตี 65 เครื่อง เครื่องบินลำเลียง 62 เครื่อง เครื่องบินลาดตระเวน 4 เครื่อง เครื่องบินฝึก 104 เครื่อง เฮลิคอปเตอร์ 192 เครื่อง เฮลิคอปเตอร์โจมตี 14 เครื่อง
ปัญหาด้านความมั่นคง
การก่อการร้ายยังเป็นภัยคุกคามสำคัญของอินโดนีเซีย เพราะแม้ว่ากลุ่ม Islamic State (IS) จะอ่อนแอลง แต่กลุ่ม Jemaah Islamiyah (JI) กำลังฟื้นตัวและจะเป็นภัยคุกคามในระยะยาว เป้าหมาย
การก่อการร้ายมุ่งที่เจ้าหน้าที่รัฐและชนต่างศาสนา ส่วนกลุ่มที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่ กลุ่มก่อเหตุโดยอิสระ
กลุ่มผู้เดินทางจากพื้นที่สู้รบกลับมาตุภูมิ (Returnees) ผู้ปฏิบัติการโดยลำพัง (Lone Wolf) และการก่อการร้ายโดยสตรี
ปัญหาการขยายตัวของกลุ่มมุสลิมอนุรักษ์นิยมยังคงมีอยู่ โดยใช้วิธีโฆษณาชวนเชื่อผ่านช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ เพื่อเรียกร้องให้ประชาชนสนับสนุนการเคลื่อนไหว ซึ่งนำไปสู่ปัญหาความขัดแย้งภายในกลุ่มมุสลิมด้วยกันเอง เช่น กลุ่มอะห์มะดียะฮ์ (ไม่ยอมรับว่ามุฮัมมัดเป็นศาสนทูตคนสุดท้าย) มุสลิมชีอะฮ์ และกับชนต่างศาสนา อาทิ ชาวจีนและชาวคริสต์
สมาชิกองค์การระหว่างประเทศ อินโดนีเซียเป็นสมาชิกองค์การระหว่างประเทศที่สำคัญหลายองค์กรและ พยายามแสดงบทบาทอย่างแข็งขันโดยเฉพาะใน UN, ASEAN, G-20 (เป็นเพียงประเทศเดียวในอาเซียนที่เป็นสมาชิก) APEC, ASEM, D-8, OIC, NAM (เป็นหนึ่งในประเทศที่ริเริ่มก่อตั้ง) และ NAASP (ก่อตั้งเมื่อปี 2548 ที่จาการ์ตา)
การขนส่งและโทรคมนาคม เครือข่ายถนนระยะทาง 546,116 กม. ทางรถไฟยาว 6,155 กม. ท่าอากาศยาน 673 แห่ง ท่าอากาศยานนานาชาติที่สำคัญ ได้แก่ ซูการ์โน-ฮัตตา จ.บันเต็น จูอันดา จ.ชวาตะวันออก และงูราห์ไร หรือเดนปาซาร์ จ.บาหลี ท่าเรือ 154 แห่ง เป็นท่าเรือน้ำลึก 137 แห่ง เปิดการเดินรถไฟความเร็วสูงเส้นทางจาการ์ตา-บันดุง เมื่อ ต.ค.2566 เป็นรถไฟความเร็วสูงขบวนแรกในภูมิภาค โทรศัพท์พื้นฐานจำนวน 9.4 ล้านเลขหมาย มีผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ 66% ต่อประชากร เครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่มีใช้ ได้แก่ GSM900/1800, CDMA 2000, 3G CDMA, 3G/WCDMA, 3G 9300, และ 4G LTE WiMAX รหัสอินเทอร์เน็ต .id มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 175.4 ล้านคน (ปี 2563) 44.16% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตใช้ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ อินโดนีเซียมีผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์มากถึง 160 ล้านคน ซึ่งมากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก สื่อสังคมออนไลน์
ที่นิยมใช้ ได้แก่ ยูทูป เฟซบุ๊ก วอตส์แอปป์ อินสตาแกรม และติ๊กต็อก
การเดินทาง มีเที่ยวบินของสายการบินการูดา ซึ่งเป็นสายการบินแห่งชาติของอินโดนีเซีย มายังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิทุกวันโดยใช้เวลาเดินทาง 3 ชม. 30 นาที และมีเที่ยวบินของสายการบินไทยไปจาการ์ตาและ เมืองเดนปาซาร์ (เกาะบาหลี) ทุกวัน ใช้เวลาเดินทาง 3 ชม. 35 นาที และ 4 ชม. 25 นาทีตามลำดับ เวลาของจาการ์ตาตรงกับเวลากรุงเทพฯ แต่เวลาของ จ.บาหลีและ จ.ปาปัว เร็วกว่ากรุงเทพฯ 1 และ 2 ชม. ตามลำดับ นักท่องเที่ยวไทยเดินทางเข้าอินโดนีเซียโดยไม่ต้องขอรับการตรวจลงตราหนังสือเดินทาง เว็บไซต์การท่องเที่ยวของอินโดนีเซีย www.indonesia.travel/en
ความสัมพันธ์ไทย-อินโดนีเซีย
ไทยและอินโดนีเซียมีความสัมพันธ์ที่ดีมานาน ตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตมีขึ้นเมื่อ 7 มี.ค.2493 โดยมีความร่วมมือที่ดีต่อกันทุกด้าน อินโดนีเซียแสดงท่าทีต้องการช่วยไทยแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ขณะที่ไทยต้องการเรียนรู้ประสบการณ์การจัดการปัญหาขบวนการแบ่งแยกดินแดน และความร่วมมือต่อต้านการก่อการร้าย ตลอดจนต้องการให้อินโดนีเซียช่วยสร้างความเข้าใจกับโลกมุสลิมเกี่ยวกับปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากนี้ อินโดนีเซียในฐานะประธานอาเซียนเมื่อปี 2554 ยังมีบทบาทช่วยแก้ไขปัญหาพิพาทเขตแดนไทย-กัมพูชา บริเวณปราสาทพระวิหาร
ความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจไทย-อินโดนีเซียได้รับการส่งเสริมภายใต้กรอบของอาเซียนและภายใต้กรอบ IMT-GT มีการทำความตกลง ความร่วมมือ สนธิสัญญา และ MoU ด้านต่าง ๆ มากกว่า 14 ฉบับ อินโดนีเซียเป็นคู่ค้าสำคัญลำดับที่ 7 ของไทยเมื่อปี 2565 อันดับ 3 ในอาเซียน มีมูลค่าการค้า 695,457 ล้านบาท มูลค่าส่งออก 357,528 ล้านบาท นำเข้า 337,931 ล้านบาท ไทยได้เปรียบดุลการค้า 19,595 ล้านบาท ห้วง ม.ค.-ก.ย.2566 มีมูลค่า 476,587 ล้านบาท มูลค่าการส่งออก 258,031 ล้านบาท นำเข้า 218,556 ล้านบาท
สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก น้ำตาลทรายเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบลูกสูบและส่วนประกอบ อากาศยาน ยานอวกาศและส่วนประกอบ สินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ ถ่านหิน น้ำมันดิบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ สินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์
ชาวอินโดนีเซียเดินทางมาท่องเที่ยวไทยเมื่อปี 2565 จำนวน 235,632 คน มากเป็นอันดับ 6 ของอาเซียน อันดับ 16 ของโลก
ข้อตกลงที่สำคัญ : สนธิสัญญาทางไมตรี (3 มี.ค.2497) ความตกลงว่าด้วยการแบ่งเขตไหล่ทวีปในตอนเหนือของช่องแคบมะละกาและในทะเลอันดามัน (17 ธ.ค.2514) สนธิสัญญาว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน (9 มิ.ย.2519) ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการศาล (8 มี.ค.2521) ความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการเก็บภาษีซ้อน (25 มี.ค.2524) ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านป่าไม้ (27 พ.ค.2527) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านถ่านหิน (12 ม.ค.2533) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ การวิจัย และเทคโนโลยี (20 พ.ค.2533) ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการ การจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วม (18 ม.ค.2535) ความตกลงว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน (17 ก.พ.2541) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว (23 พ.ค.2546) ความตกลงด้านวัฒนธรรม (17 ม.ค.2545) บันทึกความเข้าใจเพื่อการจัดตั้งสภาธุรกิจไทย-อินโดนีเซีย (27 พ.ค.2546) ความตกลงว่าด้วยการบริการทางอากาศ (8 มี.ค.2510 และปรับปรุงแก้ไขปี 2547) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการลงทุน (21 ก.ค.2547) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร (16 ธ.ค.2548) ความตกลงทางการค้า (Trade Agreement) (16 พ.ย.2554) ข้อตกลงว่าด้วยการแก้ไขบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการซื้อขายข้าวระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลอินโดนีเซีย (16 พ.ย.2554) ข้อตกลงการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านประมง (ต.ค.2556)
ไทยและอินโดนีเซียยังมีความสัมพันธ์ด้านวัฒนธรรมที่ใกล้ชิด มีการจัดทำความตกลงด้านสังคมและวัฒนธรรม และดำเนินกิจกรรมส่งเสริมความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างกันอย่างเป็นรูปธรรมและสม่ำเสมอ อาทิ การอัญเชิญผ้าพระกฐินพระราชทานไปทอดถวายยังวัดไทยในอินโดนีเซีย และการสถาปนาความสัมพันธ์บ้านพี่เมืองน้องระหว่างกัน
สถานการณ์สำคัญที่น่าติดตาม :
1) การเมืองอินโดนีเซียหลังจากยุคของประธานาธิบดีโจโก วิโดโด ในปี 2567 การเปลี่ยนแปลงผู้นำจะมีผลต่อการดำเนินนโยบายภายในและนโยบายต่างประเทศ รวมทั้งการแสดงบทบาทของอินโดนีเซียในเวทีนานาชาติ ซึ่งประเด็นท้าทายผู้นำใหม่ ได้แก่ การฟื้นฟูเศรษฐกิจ การย้ายเมืองหลวง การแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2488 และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
2) การขยายเส้นทางรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมจากบันดุงไปสุราบายา หลังจากอินโดนีเซียสามารถเปิดการเดินรถไฟความเร็วสูงสายแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เส้นทางจาการ์ตา-บันดุง ระยะทาง 142 กม. เมื่อ 2 ต.ค.2566 มีชื่อเรียกเป็นภาษาอินโดนีเซียว่า “WHOOSH” ผ่านความร่วมมือภายใต้กรอบความริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative-BRI) และใช้เทคโนโลยีจีนทั้งหมด ทั้งนี้ อินโดนีเซียมีแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อลดความแออัด และต้องการพัฒนาเมืองอื่น ๆ ควบคู่ไปกับการย้ายเมืองหลวง
3) การจัดระเบียบความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ และจีน เนื่องจากอินโดนีเซียยังคงต้องพึ่งพาจีนที่เป็นแหล่งที่มาของเงินลงทุน และการส่งออก เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่ก็ไม่ไว้วางใจจีนที่มีท่าทีเชิงรุกในทะเลจีนใต้ซึ่งกระทบกับสิทธิอธิปไตยเหนือทรัพยากรในเขตเศรษฐกิจจำเพาะรอบหมู่เกาะนาตูนา ทำให้อินโดนีเซียต้องกระชับความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ เพื่อถ่วงดุลจีนและรักษาความมั่นคงทางทะเล นอกจากนี้ อินโดนีเซียยังพยายามแสวงหาความร่วมมือที่หลากหลายกับประเทศอื่น รวมทั้งเกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย รัสเซีย ญี่ปุ่น ตุรกี ชาติในแอฟริกา เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และความมั่นคง เพื่อกระจายความเสี่ยงในการพึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่งมากเกินไป