การบีบบังคับทางเศรษฐกิจ : เครื่องมือในการกดดันหรือแรงผลักดันเพื่อการพัฒนาและเอาตัวรอด
เมื่อต้องเผชิญปัญหาหรือแรงกดดันไม่ว่าในรูปแบบใด โดยเฉพาะในยามคับขัน ทุกคนต้องพยายามหาทางออกเพื่อเอาตัวรอดและช่วยให้ปัญหาเบาบางลง หลายครั้งยังนำไปสู่การพัฒนาหรือริเริ่มสิ่งใหม่ ๆ เหมือนคำคมคุ้นหูที่ว่า “พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส” ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ จีน ที่ยิ่งเผชิญแรงต่อต้านหรือแรงกดดันจากฝ่ายตรงข้ามมากเท่าไร จีนก็จะได้โอกาสจากการหาทางออกได้บ่อยครั้ง จนภาพลักษณ์ของจีนเริ่มจะเปลี่ยนไปจากการเป็นผู้ตามที่ลอกเลียนคนอื่นเป็นผู้นำในการสร้างสรรค์แทน การสั่งห้ามใช้งาน TikTok แอปพลิเคชันสื่อสังคมออนไลน์สัญชาติจีนของสหรัฐฯ หรือมิฉะนั้นบริษัท ByteDance เจ้าของแพลตฟอร์ม TikTok ก็ต้องขายสินทรัพย์ในสหรัฐฯ ให้กับผู้ซื้อที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใน 19 มกราคม 2568 โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติ แม้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะผ่อนปรนให้ขยายการใช้งานออกไปอีก 90 วัน แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อครบ 90 วันแล้ว อนาคตของ TikTok จะเป็นเช่นไร เป็นหนึ่งในกรณีการเผชิญกับการใช้มาตรการบีบบังคับทางเศรษฐกิจ หรือ Economic Coercion จากสหรัฐฯ ของจีนที่เกิดขึ้นในยุคสงครามการค้า เพิ่มเติมจากการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้น และการห้ามการส่งออกสินค้าหรืออุปกรณ์บางประเภท รวมทั้งยังโน้มน้าวให้ประเทศอื่นดำเนินการต่อจีนในลักษณะเดียวกัน ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง การเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนของสหรัฐฯ ที่สร้างปัญหาให้จีนไม่น้อย เป็นทั้งแรงกดดันและแรงผลักดันให้จีนต้องหาออกด้วยการหาตลาดเพื่อระบายสินค้าจีน จนเกิดปรากฏการณ์การทะลักของสินค้าจีนราคาถูกในประเทศกำลังพัฒนา เช่นที่เกิดขึ้นในหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วิกฤตจากกำแพงภาษีของสหรัฐฯ กลับกลายเป็นโอกาสของจีนในการรุกขยายการส่งออกในประเทศกำลังพัฒนาที่ก็เป็นตลาดส่งออกสินค้าของจีนอยู่แล้ว และยิ่งเป็นโอกาสมากขึ้นด้วยข้อได้เปรียบด้านราคาสินค้าของจีนที่ถูกกว่าผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น…