สาธารณรัฐเกาหลี
Republic of Korea
เมืองหลวง โซล ชื่อทางการนครพิเศษโซล (Seoul Special City) ซึ่งเป็นเขตพิเศษปกครองตนเอง
ภูมิภาคเอเชียตะวันออก ทางตอนใต้ของคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เชื่อมระหว่างจีน ญี่ปุ่น กับภาคพื้นตะวันออกไกลของรัสเซีย มีเส้นขนานที่ 38 แบ่งกั้นระหว่างสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) กับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี (เกาหลีเหนือ) ตั้งอยู่ระหว่างเส้นละติจูดที่ 33-43 องศาเหนือ กับเส้นลองจิจูดที่ 124-131 องศาตะวันออก (รวมเกาหลีเหนือ) มีพื้นที่ประมาณ 100,032 ตร.กม. (ลำดับที่ 108 ของโลก) คิดเป็น 45% ของคาบสมุทรเกาหลี หรือ 1 ใน 5 ของประเทศไทย เวลาเร็วกว่าไทย 2 ชม.
อาณาเขต
ทิศเหนือ ติดกับเกาหลีเหนือ
ทิศตะวันออก ติดกับทะเลตะวันออก (หรือทะเลญี่ปุ่น)
ทิศใต้ ติดกับทะเลจีนตะวันออก
ทิศตะวันตก ติดกับทะเลตะวันตก (หรือทะเลเหลือง)
ภูมิประเทศ คาบสมุทรเกาหลีแบ่งออกเป็น 2 ประเทศ บริเวณเหนือเส้นขนานที่ 38 คือเกาหลีเหนือ ตอนใต้ คือ เกาหลีใต้ พื้นที่ 70% ของเกาหลีใต้เป็นเทือกเขาและหุบเขา เป็นประเทศที่มีเทือกเขามากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เทือกเขาตลอดชายฝั่งด้านตะวันออกมีความสูงชัน และทอดตัวลงสู่ทะเลตะวันออก ส่วนชายฝั่งทะเลทางใต้ และตะวันตก เทือกเขาค่อย ๆ ลาดลงสู่ที่ราบชายฝั่ง ทำให้เป็นแหล่งเกษตรกรรมที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของเกาหลีใต้ โดยเฉพาะการปลูกข้าว ชายฝั่งทะเลทั้ง 3 ด้าน มีความยาวรวมกัน 2,413 กม. แม่น้ำสายหลัก คือ แม่น้ำนักตง แม่น้ำฮัน และแม่น้ำคึม
วันชาติ 3 ต.ค.
นายมุน แจ–อิน
Moon Jae-in
(ประธานาธิบดีเกาหลีใต้)
ประชากร 51,305,186 คน (ปี 2564) ส่วนใหญ่เชื้อสายเกาหลี อัตราส่วนประชากรจำแนกตามอายุ : วัยเด็ก (0-14 ปี) 12.02% วัยรุ่นถึงวัยกลางคน (15-64 ปี) 71.2% และวัยชรา (65 ปีขึ้นไป) 16.7% อัตราการเกิด 5.1 คนต่อประชากร 1,000 คน อัตราการตาย 5.9 คนต่อประชากร 1,000 คน อัตราการเพิ่มของประชากร 0.26%อายุขัยเฉลี่ยของชาวเกาหลีใต้ประมาณ 82.8 ปี อายุขัยเฉลี่ยเพศชาย 79.7 ปี เพศหญิง 86.0 ปี อัตราว่างงาน 2.8% แรงงาน 27.7 ล้านคน ส่วนใหญ่อยู่ในภาคธุรกิจและบริการ รองลงมาเป็นภาคอุตสาหกรรม และภาคการเกษตรและประมงเป็นส่วนน้อย
การก่อตั้งประเทศ อาณาจักรแรกของเกาหลี คือ อาณาจักรโคโชซอน (โชซอนโบราณ) เป็นอาณาจักรโบราณก่อตั้งเมื่อ 2333 ปี ก่อนคริสต์ศักราช มีกษัตริย์ปกครอง โดยราชวงศ์โชซอนเป็นราชวงศ์สุดท้าย มีการปฏิรูปการเมืองการปกครองที่สำคัญที่สุด คือ การยกย่องลัทธิขงจื๊อเป็นคติธรรมประจำชาติ การสร้างสรรค์งานด้านวรรณศิลป์ และการประดิษฐ์ตัวอักษรฮันกึลเมื่อปี 1986 ทำให้ยุคนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อวัฒนธรรมเกาหลี ตั้งแต่ปี 2453 เกาหลีอยู่ภายใต้การยึดครองของญี่ปุ่นเป็นเวลา 35 ปี จนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงครามเมื่อ 15 ส.ค.2488
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 คาบสมุทรเกาหลีถูกแบ่งเป็นสองประเทศที่เส้นละติจูดที่ 38 องศาเหนือตามข้อตกลง Potsdam เมื่อปี 2488 โดยให้อดีตสหภาพโซเวียตดูแลเกาหลีเหนือ สหรัฐฯ ดูแลเกาหลีใต้ สงครามเกาหลีเกิดขึ้นระหว่างปี 2493-2496 เมื่อเกาหลีเหนือบุกเกาหลีใต้เมื่อ 25 มิ.ย.2493 มีการลงนามข้อตกลงสงบศึกชั่วคราวเมื่อปี 2496 หลังจากสงครามเกาหลี เกาหลีใต้ประสบความสำเร็จอย่างมากในการฟื้นฟูประเทศให้มั่นคงและมั่งคั่ง
การเมือง ปกครองในระบอบประชาธิปไตย มีประธานาธิบดีเป็นประมุข ได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน อยู่ในตำแหน่งได้เพียงวาระเดียวเป็นเวลา 5 ปี ไม่มีอำนาจยุบสภา เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดโดยตำแหน่ง มีอำนาจประกาศกฎอัยการศึก และมาตรการฉุกเฉิน รวมทั้งเสนอร่างกฎหมายได้ ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน คือ นายมุน แจ-อิน ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อ 10 พ.ค.2560 และจะจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งต่อไปใน 9 มี.ค.2565
ฝ่ายบริหาร : ประธานาธิบดีแต่งตั้ง นรม. และ ครม. โดยความเห็นชอบของรัฐสภา นรม.เป็นผู้ช่วยประธานาธิบดีในการบริหารประเทศและเข้าร่วมการประชุมรัฐสภา ซึ่งรัฐบาลรับฟังคำแนะนำจากคณะกรรมการต่าง ๆ อาทิ สภาที่ปรึกษาอาวุโส สภาความมั่นคงแห่งชาติ คณะกรรมการวางแผนและงบประมาณ โดยประธานาธิบดีเป็นผู้แต่งตั้งประธานคณะกรรมการชุดต่าง ๆ
ฝ่ายนิติบัญญัติ : มีสภาเดียว สมาชิก 300 คน ส.ส. มาจากการเลือกตั้งโดยตรง 253 คน ที่เหลือ 47 คน เป็นผู้แทนในระบบสัดส่วน วาระ 4 ปี โดย ส.ส.เลือกประธานสภาฯ และรองประธานสภาฯ อีก 2 คน รัฐสภามีอำนาจถอดถอนประธานาธิบดี โดยสมาชิกเสียงข้างมากเป็นผู้เสนอ และสมาชิก 2 ใน 3 ให้ความเห็นชอบ
ฝ่ายตุลาการ : ประกอบด้วยศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา ประธานาธิบดีแต่งตั้งประธานศาลฎีกาด้วยความเห็นชอบของรัฐสภา การพิจารณาของศาลกำหนดให้เปิดเผยแก่สาธารณชนทั่วไปได้ ยกเว้นในกรณีที่เห็นว่าจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติหรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจในการพิจารณากฎหมายที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญโดยให้ถือเป็นโมฆะ และมีหน้าที่ตัดสินความถูกต้องของกระบวนการถอดถอนประธานาธิบดี นรม. และผู้พิพากษา รวมทั้งมีอำนาจยุบพรรคการเมืองที่ทำผิดกฎหมาย ตามข้อเสนอของฝ่ายบริหาร
พรรคการเมือง : ปี 2564 มีพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค คือ พรรค Democratic Party of Korea มี ส.ส. 169 คน พรรค People Power Party มี ส.ส. 103 คน และ ส.ส.จากพรรคอื่น ๆ รวม 300 คน การเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งล่าสุดเมื่อ 15 เม.ย.2563
เศรษฐกิจ เกาหลีใต้มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นลำดับที่ 10 ของโลก โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้เมื่อปี 2563 ที่ 1.3% ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่พัฒนาแล้วที่ 0.2% สะท้อนความยืดหยุ่นของเศรษฐกิจเกาหลีใต้ท่ามกลางการแพร่ระบาดของ COVID-19 ก่อนหน้านี้ เกาหลีใต้มีขีดความสามารถทางการแข่งขันลำดับที่ 23 ของโลก (ปี 2564) เป็น
ผู้ส่งออกลำดับที่ 8 ผู้นำเข้าลำดับที่ 10 (World Bank 2562) เกาหลีใต้ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจจากประเทศยากจนและเกษตรกรรมจนเป็นประเทศอุตสาหกรรมและมีเศรษฐกิจแข็งแกร่ง โดยเป็นประเทศสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ตั้งแต่ปี 2539 เกาหลีใต้เคยประสบวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 แต่ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว สามารถชำระคืนเงินกู้ IMF เต็มจำนวน 19,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐก่อนครบกำหนด 3 ปี
งบประมาณ (ม.ค.-ธ.ค.2564) : 604.9 ล้านล้านวอน (5.11 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) รวมงบประมาณพิเศษ 2 รอบ เพิ่มขึ้น 18.1% จากงบประมาณเดิมของปี 2563 จำนวน 512.3 ล้านล้านวอน งบประมาณพิเศษได้รับการจัดสรรสำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เยียวยาผู้ประกอบการและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 รวมถึงการดำเนินการป้องกันการระบาดของ COVID-19
สกุลเงิน ตัวย่อสกุลเงิน : วอน (won)
อัตราแลกเปลี่ยนต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ : 1,191.63 วอน : 1 ดอลลาร์สหรัฐ (พ.ย.2564)
อัตราแลกเปลี่ยนต่อ 1 บาท : 36.40 วอน : 1 บาท (พ.ย.2564)
ดัชนีเศรษฐกิจสำคัญ (ปี 2563)
ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) : 16.38 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ : 0.3% (ไตรมาส 3/ปี 2564)
ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศและทองคำ : 463,970 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อ ก.ย.2564 สูงเป็นลำดับที่ 8 ของโลก (รองจากจีน ญี่ปุ่น สวิตเซอร์แลนด์ อินเดีย รัสเซีย ไต้หวัน และฮ่องกง)
อัตราเงินเฟ้อ : 0.54%
หนี้สาธารณะเกาหลีใต้ : 43.8% ของ GDP
รายได้ต่อหัวต่อปี : 31,881 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าแรงขั้นต่ำ : ปี 2564 ชม. ละ 8,720 วอน (7.40 ดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้น 1.5% จาก 8,590 วอน เมื่อปี 2563
มูลค่าการค้าของเกาหลีใต้ : ปี 2563 ส่งออกมูลค่า 512,498 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นำเข้ามูลค่า 467,633 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เกินดุล 44,865 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ห้วง ม.ค.-ต.ค.2564 ส่งออกมูลค่า 523,347 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นำเข้ามูลค่า 496,309 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เกินดุล 27,038 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สินค้าส่งออกที่สำคัญ : ปิโตรเคมี เซมิคอนดักเตอร์ ยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ เรือ อุปกรณ์สื่อสารไร้สาย เหล็ก อิเล็กทรอนิกส์ พลาสติก คอมพิวเตอร์
สินค้านำเข้าที่สำคัญ : น้ำมันดิบ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เซมิคอนดักเตอร์ ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน คอมพิวเตอร์ ยานยนต์ อุปกรณ์สื่อสารไร้สาย เคมีภัณฑ์ สิ่งทอ
(ข้อมูลส่วนใหญ่มาจาก Bank of Korea)
การทหาร ประธานาธิบดีเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดโดยตำแหน่ง กองทัพเกาหลีใต้มีกำลังพลประมาณ 599,000 นาย ในจำนวนนี้เป็น ทบ. ประมาณ 464,000 นาย งบประมาณทางทหารปี 2564 มูลค่า 52.84 ล้านล้านวอน (4.37 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้น 5.4% จากปี 2563 ที่มีมูลค่า 50.2 ล้านล้านวอน (42.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) เกาหลีใต้พัฒนาและทดสอบขีปนาวุธยิงจากเรือดำน้ำ (Submarine-Launched Ballistic Missile-SLBM) ครั้งแรกเมื่อ ก.ย.2564 หลังสหรัฐฯ ยกเลิกนโยบายจำกัดการพัฒนาขีปนาวุธของเกาหลีใต้ เมื่อ พ.ค.2564 เปิดโอกาสให้เกาหลีใต้สามารถพัฒนาขีปนาวุธทุกชนิด
ทบ. มีกำลังพล 464,000 นาย ประกอบด้วย กองทัพที่ 1 (First Republic of Korea Army-FROKA) รับผิดชอบพื้นที่ตอนเหนือและชายแดนด้านตะวันออก กองทัพที่ 2 (SROKA) รับผิดชอบพื้นที่ตอนใต้ และกองทัพที่ 3 (TROKA) มีขนาดกำลังพลและยุทโธปกรณ์มากที่สุด รับผิดชอบพื้นที่ตอนเหนือ และชายแดนด้านตะวันตก รวมทั้งโซล
ทร. มีกำลังพล 70,000 นาย (นาวิกโยธิน 29,000 นาย) มีฐานทัพเรือ 9 แห่งที่ จินแฮ ทงแฮ พย็องแท็ก อินชอน มกโพ โพฮัง ปูซาน เกาะเชจู และเกาะแบ็งนย็อง แบ่งเป็น 3 กองบัญชาการกองเรือยุทธการ ประกอบด้วย กองเรือภาคที่ 1 ที่ทงแฮ (1st Tonghae) รับผิดชอบทะเลญี่ปุ่น (ทะเลตะวันออก) กองเรือภาคที่ 2 ที่พย็องแท็ก (2nd Pyongtaek) รับผิดชอบทะเลเหลือง (ทะเลตะวันตก) และกองเรือภาคที่ 3 รับผิดชอบช่องแคบเกาหลี (ทะเลใต้) นอกจากนี้ ทร.เกาหลีใต้จะเน้นเสริมขีดความสามารถด้านเรือดำน้ำ โดยเมื่อปี 2558 ทร.ยกฐานะหน่วยเรือดำน้ำเป็นกองบัญชาการเรือดำน้ำมีฐานะเทียบเท่ากองเรือภาค ปัจจุบันเกาหลีใต้มีเรือดำน้ำ 13 ลำ และกำลังเร่งนำเรือดำน้ำขนาด 1,800 ตัน เข้าประจำการเพิ่มอีก 5 ลำ ภายในปี 2562 และแผนจะเริ่มนำเรือดำน้ำชั้นชังโบโก III ขนาด 3,000 ตัน ที่พัฒนาเองเข้าประจำการเพิ่มอีก 3 ลำ ในปี 2567 เพื่อเสริมขีดความสามารถในสงครามใต้น้ำรับมือกองเรือดำน้ำของเกาหลีเหนือที่มีกว่า 70 ลำ
ทอ. มีกำลังพล 65,000 นาย และจัดซื้อ บ.ขับไล่ล่องหนแบบ F-35A จากสหรัฐฯ เพิ่มอีก 20 เครื่อง จากเดิมจัดซื้อแล้ว 40 เครื่อง โดยมี บ.รบประจำการประมาณ 579 เครื่อง อาทิ บ.รบ แบบ F-4E F-5E F-16C F-16D F-15K F-35A FA-50 และ บ.สนับสนุนอื่น ๆ อาทิ บ.ขนส่ง 38 เครื่อง เฮลิคอปเตอร์ 49 เครื่อง บ.ฝึกแบบต่าง ๆ 183 เครื่อง และอากาศยานไร้คนขับประมาณ 15 เครื่อง นอกจากนี้ เกาหลีใต้อยู่ระหว่างพัฒนาขีปนาวุธของตนเองให้มีศักยภาพเพิ่มขึ้นทั้งพิสัยและอานุภาพการโจมตี เพื่อเสริมขีดความสามารถในการรับมือเกาหลีเหนือ ซึ่งมีความก้าวหน้าด้านนิวเคลียร์และขีปนาวุธอย่างต่อเนื่อง
กองกำลังสำรอง (Reserve Forces) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2511 มีกำลังสำรองประมาณ 3.1 ล้านนาย ได้รับการฝึกเพื่อการป้องกันประเทศ และรักษาความมั่นคงภายใน เช่น การต่อต้านการแทรกซึม การก่อวินาศกรรมของฝ่ายตรงข้าม กำลังสำรองมีขีดความสามารถด้านการรบในยามสงคราม และเป็นกำลังสำคัญในการสร้างหน่วยใหม่ หน่วยเสริมกำลัง และการทดแทนกำลังให้หน่วยรบ กฎหมายกำหนดให้ทหารที่ปลดประจำการ ต้องเป็นกำลังสำรองต่ออีก 8 ปี
กกล.ทหารสหรัฐฯ ในเกาหลีใต้ (United States Forces Korea-USFK) เป็นสัญลักษณ์การเป็นพันธมิตรทางทหารระหว่างสหรัฐฯ กับเกาหลีใต้ และเป็นส่วนสำคัญของการสร้างสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือและคาบสมุทรเกาหลี ผู้บัญชาการกองกำลังสหประชาชาติ (United Nations Command-UNC) กำลังผสมสหรัฐฯ-เกาหลีใต้ (Combined Force Command) คือ ผู้บัญชาการ กกล.ทหารสหรัฐฯ ในเกาหลีใต้ ที่มีกำลังพลประมาณ 31,050 นาย ประกอบด้วย 1) กองทัพบกสหรัฐฯ ที่ 8 (The 8th US Army-EUSA) : กองพลทหารราบสหรัฐฯ ที่ 2 กองพลน้อยบินที่ 17 กองพลน้อยทหารม้าที่ 6 และกำลังสนับสนุนอื่น ๆ 2) กกล.ทางเรือสหรัฐฯ ในเกาหลีใต้ (US Naval Forces Korea) 3) กกล.นาวิกโยธินสหรัฐฯ ในเกาหลีใต้ (US Marine Forces Korea) 4) หน่วยบัญชาการปฏิบัติการพิเศษสหรัฐฯ 5) กองกำลังทางอากาศสหรัฐฯ ในเกาหลีใต้ (US Air Forces Korea) หน่วยบัญชาการทหารอากาศสหรัฐฯ ที่ 7 มีกำลัง 2 กองบิน
ปัญหาด้านความมั่นคง ปัญหาด้านความมั่นคงหลักของเกาหลีใต้แบ่งเป็น 3 ประการ 1) ภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือ เนื่องจากประเทศทั้งสองยังอยู่ในภาวะสงคราม รวมถึงโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ขีปนาวุธ ขีดความสามารถในการทำสงครามทางคอมพิวเตอร์ และการยั่วยุทางทหารตามแนวพรมแดนเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงหลักของเกาหลีใต้ 2) ปัญหาการอ้างกรรมสิทธิ์เหนือเกาะต๊อก หรือทาเคชิมะในภาษาญี่ปุ่น เป็นประเด็นขัดแย้งระหว่างเกาหลีใต้กับญี่ปุ่น ซึ่งมีผลกระทบทั้งด้านความมั่นคงทางทหารและเศรษฐกิจ และทำให้กระแสชาตินิยมในเกาหลีใต้รุนแรงขึ้นในห้วงที่เกิดประเด็นขัดแย้งระหว่างทั้งสองประเทศ และ 3) ปัญหาการก่อการร้ายและก่ออาชญากรรม เนื่องจากเกาหลีใต้เป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ ทำให้ กกล.พลเรือนและผลประโยชน์ของเกาหลีใต้ทั้งในและต่างประเทศมีความเสี่ยงตกเป็นเป้าหมายการโจมตีของกลุ่มก่อการร้าย เกาหลีใต้จึงเสริมการรับมือการก่อการร้ายด้วยการเริ่มบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายเมื่อ มิ.ย.2559
ความสัมพันธ์ไทย–เกาหลีใต้
ไทยและเกาหลีใต้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระดับอัครราชทูตเมื่อ 1 ต.ค.2501 และยกระดับเป็นระดับเอกอัครราชทูตเมื่อ 1 ต.ค.2503 มีความร่วมมือกันทั้งในระดับทวิภาคีและระดับพหุภาคี เช่น การประชุมคณะกรรมาธิการร่วม (Joint Commission-JC) ระดับรัฐมนตรี ซึ่งเป็นกลไกหารือภาพรวมความร่วมมือ การประชุม Policy Consultation (PC) เป็นกลไกการหารือในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสเพื่อสนับสนุนและเสริมการหารือในกรอบ JC และความร่วมมือในระดับภูมิภาค เช่น ASEAN+1 กับเกาหลีใต้ ASEAN+3 (จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) และกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-เกาหลีใต้ (Mekong-ROK Cooperation) นอกจากนี้ ไทยกับเกาหลีใต้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับผู้นำรัฐบาล และ รมต.อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งมีการลงนามสนธิสัญญาและความตกลงความร่วมมือในหลายสาขา อาทิ วิทยาศาสตร์ แรงงาน วัฒนธรรม และการทหาร
เกาหลีใต้ให้ความสนใจติดตามสถานการณ์ทางการเมืองของไทยอย่างใกล้ชิด แต่ไม่แสดงท่าทีหรือวิพากษ์วิจารณ์การเมืองภายในประเทศของไทย ส่วนใหญ่เป็นการติดตามสถานการณ์ และรายงานในสื่อมวลชนภาคภาษาเกาหลี
ความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงเริ่มต้นตั้งแต่ไทยส่งทหารเข้าร่วม กกล.สหประชาชาติในสงครามเกาหลี เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ประชาชนทั้งสองประเทศรู้สึกผูกพันกัน ปัจจุบัน ไทยยังคงส่งนายทหารติดต่อประจำ UNC และ จนท.หน่วยแยก ทบ.ไทยประจำกองร้อยทหารเกียรติยศ (Honour Guard Company) จำนวน 6 คน เพื่อปฏิบัติหน้าที่เชิญธงไทยและปฏิบัติหน้าที่ด้านพิธีการเกี่ยวกับสงครามเกาหลีใน UNC เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า ไทยยังคงยึดมั่นในพันธกรณีในการรักษาสันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลี
ไทยและเกาหลีใต้ยังมีความร่วมมือด้านความมั่นคงอื่น ๆ ได้แก่ การต่อต้านการก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติ ยาเสพติด และอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นความร่วมมือภายใต้กรอบพหุภาคี เช่น UN ASEAN และ ARF ซึ่งไทยสนับสนุนกระบวนการปรองดองเพื่อนำไปสู่การรวมประเทศของทั้งสองเกาหลี และสนับสนุนนโยบายการปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในภูมิภาค
ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจปี 2563 มีมูลค่าการค้า 372,593 ล้านบาท โดยไทยนำเข้าสินค้าจากเกาหลีใต้มูลค่า 240,847 ล้านบาท ขณะที่ไทยส่งออกไปเกาหลีใต้มูลค่า 131,746 ล้านบาท ไทยขาดดุลการค้ากับเกาหลีใต้ 109,100 ล้านบาท ลดลงจากปี 2562 ที่มีมูลค่าการขาดดุลอยู่ที่ 125,601 ล้านบาท ในห้วง ม.ค.-ก.ย.2564 มูลค่าการค้า 370,698 ล้านบาท โดยไทยส่งออกไปเกาหลีใต้มูลค่า 137,834 ล้านบาท และนำเข้าสินค้าจากเกาหลีใต้มูลค่า 232,864 ล้านบาท (กระทรวงพาณิชย์)
สินค้าส่งออกหลักของไทยไปเกาหลีใต้ ได้แก่ แผงวงจรไฟฟ้า อัญมณีและเครื่องประดับ ยางพารา เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก กระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม และน้ำตาลทราย สินค้าหลักที่ไทยนำเข้าจากเกาหลีใต้ ได้แก่ เหล็ก เหล็กกล้า เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ สินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน พืชและผลิตภัณฑ์จากพืช ผลิตภัณฑ์ทำจากพลาสติก ผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องบิน เครื่องร่อน อุปกรณ์การบินและส่วนประกอบ (กระทรวงพาณิชย์)
ด้านการลงทุน ไทยสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนให้แก่ภาคธุรกิจเกาหลีใต้ และเชิญให้ นักลงทุนเกาหลีใต้ลงทุนในไทยมากขึ้นในอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมไฟฟ้า/อิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเครื่องจักรและผลิตภัณฑ์โลหะ อุตสาหกรรมอาหารและเกษตรแปรรูป รวมถึงการชักชวนให้เกาหลีใต้ขยายการลงทุนผ่านโครงการด้านความเชื่อมโยงภายใต้ข้อริเริ่ม “Connecting the Connectivities” และโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ชาญฉลาด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืน รวมถึงอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (BCG Economy) ของไทย
โครงการลงทุนโดยตรงสุทธิจากเกาหลีใต้ในไทยเมื่อปี 2563 ที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (The Board of Investment of Thailand-BOI) มีมูลค่ารวม 2,508.65 ล้านบาท จำนวน 21 โครงการ มากเป็นลำดับที่ 12 ของการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติทั้งหมด แต่ลดลงจากปี 2562 ที่มีมูลค่าการลงทุนรวม 3,139 ล้านบาท จำนวน 33 โครงการ มากเป็นลำดับที่ 10 ของการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติทั้งหมด
ด้านแรงงาน หลังจากเมื่อปี 2546 รัฐบาลเกาหลีใต้เปลี่ยนนโยบายการนำเข้าแรงงานต่างชาติจากใช้ระบบผู้ฝึกงานอย่างเดียว เป็นใช้ควบคู่กับระบบใบอนุญาตทำงานด้วย (Employment Permit System–EPS) มีผลบังคับใช้เมื่อ 17 ส.ค.2547 กระทรวงแรงงานเกาหลีใต้คัดเลือกประเทศที่จะสามารถส่งคนงานไปทำงานในเกาหลีใต้ภายใต้ระบบ EPS ระยะแรกเพียง 8 ประเทศ (ไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม จีน ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา คาซัคสถาน และมองโกเลีย) ไทยและเกาหลีใต้จัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดส่งแรงงานไปเกาหลีใต้ภายใต้ระบบ EPS ครั้งแรกเมื่อปี 2547 และต่ออายุบันทึกความเข้าใจดังกล่าวอีก 2 ครั้ง คือ เมื่อปี 2549 และปี 2552 บันทึกความเข้าใจดังกล่าว เกาหลีใต้ให้โควตาแรงงานไทยไปทำงานในภาคอุตสาหกรรม ก่อสร้าง และภาคเกษตรของเกาหลีใต้ ซึ่งทำให้แรงงานไทยมีโอกาสไปทำงานในเกาหลีใต้ มากขึ้นและเสียค่าใช้จ่ายน้อยลง
เมื่อ 1 ก.พ.2555 เกาหลีใต้ทบทวนกฎหมายว่าด้วยการจ้างแรงงานต่างชาติภายใต้ระบบ EPS เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งเป็นผลจากความพยายามของประเทศผู้จัดส่งแรงงานภายใต้ระบบ EPS ที่ขยายเป็น 15 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย มองโกเลีย ศรีลังกา ฟิลิปปินส์ เวียดนาม อุซเบกิสถาน ปากีสถาน กัมพูชา จีน บังกลาเทศ เนปาล เมียนมา คีร์กีซสถาน และติมอร์เลสเต และบรรเทาปัญหาแรงงานผิดกฎหมายในเกาหลีใต้ สาเหตุหนึ่งมาจากกรณีแรงงานต่างชาติที่ทำงานครบตามสัญญาจ้างงาน จะต้องเดินทางกลับประเทศของตนเป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน จึงจะมีสิทธิ์สมัครกลับไปทำงานในเกาหลีใต้ภายใต้ระบบ EPS อีกครั้ง โดยจะต้องทดสอบความรู้ภาษาเกาหลี และไม่สามารถเลือกนายจ้างหรือประเภทของงาน
การแก้ไขกฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 2 ก.ค.2555 โดยผ่อนผันให้แรงงานที่ทำงานครบตามสัญญา 4 ปี 10 เดือน สามารถเดินทางกลับไปทำงานกับนายจ้างคนเดิมได้ หากได้รับการร้องขอจากนายจ้าง และลดระยะเวลาการกลับไปพำนักในประเทศของตนลงจาก 6 เดือน เป็น 3 เดือน รวมทั้งผ่อนผันให้แรงงานไม่ต้องสอบภาษาเกาหลีและไม่ต้องเข้ารับการอบรมอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนี้ ยังเพิ่มความยืดหยุ่นในเรื่องการย้ายงานของแรงงานต่างชาติจากปัจจุบันกำหนดไว้ไม่ให้เกิน 5 ครั้ง (นับรวมการย้ายงานเนื่องจากสถานประกอบการปิดกิจการ หรือนายจ้างละเมิดสัญญา) เป็นจะไม่นับการย้ายงานอันเกิดจากเหตุสุดวิสัยหรือมิได้เกิดจากความผิดของลูกจ้าง นอกจากนี้ การแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ยังสามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของนายจ้างที่ต้องขาดแรงงานที่มีฝีมือและมีความชำนาญงาน
แรงงานที่จัดส่งโดยรัฐตามระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ (Employment Permit System-EPS) เมื่อปี 2563 มีแรงงานไทยที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางไปทำงานที่เกาหลีใต้จำนวน 717 คน ลดลงจากจำนวน 1,642 คน เมื่อปี 2562 เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 และมาตรการควบคุมพรมแดนที่เข้มงวด ส่วนใหญ่ทำงานในภาคอุตสาหกรรมการผลิต เกษตรและปศุสัตว์ การก่อสร้าง ขณะเดียวกัน แรงงานไทยที่ยังคงทำงานอยู่ในเกาหลีใต้เมื่อ ธ.ค.2563 มีจำนวน 16,801 คน คาดว่ามีแรงงานไทยผิดกฎหมายที่ยังพำนักในเกาหลีใต้ประมาณ 140,000 คน
ด้านการท่องเที่ยว ไทยกับเกาหลีใต้ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระดับประชาชนให้มากขึ้น โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวด้านวัฒนธรรมและการศึกษา ไทยและเกาหลีใต้ส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษาและจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมเกาหลีในไทย และศูนย์วัฒนธรรมไทยในเกาหลีใต้ เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านภาษาและวัฒนธรรมในระดับประชาชน สถิติการท่องเที่ยวระหว่างไทยกับเกาหลีใต้ตกต่ำห้วงปี 2563 จากมาตรการเข้มงวดระหว่างพรมแดนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งจำกัดวัตถุประสงค์ของการเดินทาง ทั้งนี้ อัตราการเดินทางของนักท่องเที่ยวเกาหลีใต้มาไทย เมื่อช่วงปี 2544-2547 เฉลี่ยประมาณปีละ 700,000 คน เมื่อปี 2550 เพิ่มเป็นประมาณ 1.1 ล้านคน และเมื่อปี 2562 มีจำนวนประมาณ 1,892,400 คน (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง) คนไทยเดินทางไปเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นเช่นกัน เมื่อปี 2562 มีจำนวน 571,610 เพิ่มขึ้น 2% จากปี 2561 ที่มีจำนวน 558,921 คน (Korea Tourism Organization)
ด้านความมั่นคง สถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลียังคงมีพลวัตสูง ทุกฝ่ายยังพยายามรักษา
แนวทางแก้ไขปัญหานิวเคลียร์ในคาบสมุทรเกาหลีด้วยการเจรจา ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับเกาหลีเหนือยังคงเป็นไปในเชิงบวก แม้การประชุมระหว่างผู้นำสหรัฐฯ-เกาหลีเหนือ ครั้งที่ 2 ที่ฮานอย เวียดนาม ระหว่าง 27-28 ก.พ.2562 ไม่บรรลุข้อตกลงใด ๆ แต่การมีช่องทางติดต่อซึ่งส่งผลต่อการสร้างความไว้วางใจระหว่างผู้นำ ทำให้เกิดการพบหารือกันเป็นครั้งที่ 3 (การพบหารืออย่างไม่เป็นทางการ) ที่เขตปลอดทหารระหว่างสองเกาหลี เมื่อ 30 มิ.ย.2562 อย่างไรก็ดี การที่ทั้งสองฝ่ายมีทัศนะต่อการเจรจาที่แตกต่างกันมาก ซึ่งสะท้อนจาก การหารือระดับคณะทำงานที่สวีเดนเมื่อ 5 ต.ค.2562 โดยไม่มีข้อตกลงใด ๆ อาจส่งผลให้การปลดอาวุธนิวเคลียร์เกาหลีเหนือยืดเยื้อออกไป สำหรับความเป็นไปได้ของการประชุมสุดยอดครั้งต่อไปคาดว่าจะขึ้นอยู่กับสหรัฐฯ และเกาหลีใต้สามารถสร้างความไว้วางใจกับเกาหลีเหนือ
ด้านการทหาร เกาหลีใต้ปรับปรุงแผนปฏิบัติการทางทหาร กรณีเกิดวิกฤติหรือสงครามเกาหลีครั้งใหม่ จากเดิมเน้นการตั้งรับรอกำลังเสริมจากสหรัฐฯ รวบรวมกำลังแล้วจึงโต้กลับ แต่ในแผนปฏิบัติการใหม่ เกาหลีใต้และสหรัฐฯ อาจชิงโจมตีก่อน หากมีสัญญาณบ่งชี้ว่าเกาหลีเหนือกำลังเตรียมโจมตีด้วยขีปนาวุธหรืออาวุธนิวเคลียร์ตามหลักการ Kill chain หรือการชิงโจมตี เพื่อทำลายศูนย์บัญชาการทางสงครามผู้นำทางทหารของเกาหลีเหนือและที่ตั้งทางนิวเคลียร์และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ
เกาหลีใต้นำระบบป้องกันขีปนาวุธแบบ THAAD ของสหรัฐฯ เข้าประจำการในเกาหลีใต้แบบชั่วคราว เมื่อ ก.ย.2560 ที่เมืองซองจู ทางตอนใต้ของโซลเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยติดตั้งเพิ่มอีก 4 ฐานยิง จากเดิมที่ติดตั้งแล้ว 2 ฐานยิง เพื่อเสริมการสกัดกั้นขีปนาวุธจากเกาหลีเหนือ เนื่องจากปัจจุบันเกาหลีใต้มีเพียงระบบป้องกันขีปนาวุธรุ่นเก่าแบบ Patriot PAC-2 ซึ่งไม่เพียงพอที่จะรับมือภัยคุกคาม อย่างไรก็ดี THAAD ทำให้จีนและรัสเซียไม่เห็นด้วย เฉพาะอย่างยิ่งจีนที่ไม่พอใจอย่างมากและดำเนินมาตรการต่อต้านหลายแนวทาง โดยเฉพาะมาตรการทางเศรษฐกิจ ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างเกาหลีใต้กับจีน