ตั้งแต่เริ่มติดต่อกับโลกภายนอก หน่วยการปกครองในอาณาบริเวณที่เรียกว่า “ไทย” ในปัจจุบัน ไม่เคยมีสถานะเป็นศูนย์กลางอำนาจของโลก ในอดีตกาลนั้นไทยเป็นพื้นที่ห่างไกลทั้งในเชิงกายภาพ และอำนาจของมหาอำนาจแผ่เข้ามาไม่ถึง ไทยจึงเป็นพื้นที่ของความเป็นอื่น ที่มหาอำนาจต้องเข้ามาสำรวจ บุกเบิก เพื่อขจัดความไม่รู้ (อันเป็นสภาวะไม่พึงปรารถนาของผู้มีอำนาจ) ให้สูญสิ้นไป จนที่สุดก็นำไปสู่ความต้องการ “ยึดครอง” ในยุคของการล่าอาณานิคมของจักวรรดินิยมยุโรป เพื่อกวาดเอาทรัพยากรและแรงงานเข้าสู่ศูนย์กลางของอำนาจ ถึงแม้ไทยจะไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นโดยตรง แต่ก็ไม่ได้หลุดรอดจากการเอารัดเอาเปรียบของระบบโลก โลกในยุคสมัยของจักรวรรดินิยมและพาณิชย์นิยม แบ่งประเทศต่าง ๆ ออกเป็นชนชั้นตามลำดับอำนาจ จึงเป็นโลกแห่งความเอารัดเอาเปรียบ ที่ศูนย์กลางอำนาจขูดรีดเอาทรัพยากรจากประเทศชายขอบไปเข้าสู่กระบวนการผลิตที่จะสะสมความรุ่งเรืองของตน ระบบเศรษฐกิจของไทยจึงมีพื้นฐานอยู่บนโครงสร้างโลกที่ไม่สมดุล จากการถูกกดขี่โดยมหาอำนาจ (และนำไปสู่การกดขี่ตามลำดับชั้นภายในประเทศอีกทีหนึ่ง) การแข่งขันด้านอุดมการณ์ของสหรัฐฯ – สหภาพโซเวียตในยุคสงครามเย็น ก็ยังคงอยู่บนพื้นฐานของการจัดแบ่งประเทศตามลำดับชั้นของอำนาจ โลกในยุคสมัยนั้นแบ่งเป็น 2 ขั้ว ที่มหาอำนาจทั้ง 2 แข่งขันกันสร้างโลกที่มีตนเป็นผู้นำโดยมีบริวารคือบรรดาประเทศที่มีอำนาจน้อยกว่า การที่ไทยเลือกข้างอยู่กับสหรัฐฯ ทำให้พื้นที่ประเทศไทย เป็นพื้นที่ของการแสดงอำนาจของสหรัฐฯ ด้วยแนวทางการพยายามสถาปนาแนวคิดเสรีนิยมและทุนนิยมให้ลงหลักปักฐานเป็นแนวคิดหลักของสังคมไทยในทุกมิติ การต่อสู้เพื่อแสดงอำนาจของสหรัฐฯ ประกอบไปด้วย 2 แนวรบที่คู่ขนานกัน ด้านหนึ่งคือการสนับสนุนรัฐไทยต่อสู้กับกองกำลังคอมมิวนิสต์ ในอีกด้านหนึ่งคือการช่วยเหลือรัฐไทยเร่งรัดพัฒนาประเทศตามทฤษฎีการสร้างความทันสมัย (Modernization) ที่ใช้ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ และอุตสาหกรรม ของสหรัฐฯ…