![]()

นาย Mike Burgess ผู้อำนวยการหน่วยต่อต้านข่าวกรองแห่งชาติของออสเตรเลีย หรือ Australian Security Intelligence Organisation เปิดเผยเมื่อ 12 พฤศจิกายน 2568 ว่า ออสเตรเลียจะเผชิญความท้าทายในการป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์มากขึ้น เพราะรัฐบาลต่างชาติมีปฏิบัติการโจมตีทางไซเบอร์เพื่อบ่อนทำลายโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของออสเตรเลีย รวมทั้งพยายามใช้ปฏิบัติการทางไซเบอร์ เพื่อจารกรรมข้อมูลสำคัญของออสเตรเลียด้วย ประกอบกับแฮ็กเกอร์มีความสามารถและความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติการ เพราะมีแทคโนโลยีใหม่ ๆ สนับสนุน สะท้อนว่าออสเตรเลียจะเผชิญความท้าทายในการป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์จากรัฐบาลต่างชาติไปอีกอย่างน้อย 5 ปี ทั้งนี้ แม้ว่านาย Burgess ไม่ได้ระบุโดยตรงว่ารัฐบาลจีนอยู่เบื้องหลังปฏิบัติการโจมตีดังกล่าว แต่อ้างถึงกลุ่มแฮ็กเกอร์ที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน ได้แก่ กลุ่ม Salt Typhoon และกลุ่ม Volt Typhoon ซึ่งอยู่เบื้องหลังการโจมตีทางไซเบอร์ต่อโครงสร้างพื้นฐานในสหรัฐฯ และออสเตรเลีย
เท่ากับว่า ออสเตรเลียประเมินว่าแฮ็กเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนเงินทุนและเครื่องมือจากรัฐบาลจีน จะเป็นความท้าทายที่สำคัญ
โครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่จะเผชิญความเสี่ยงจากการโจมตีทางไซเบอร์มากขึ้น ได้แก่ ระบบการบริหารจัดการน้ำ การคมนาคม การโทรคมนาคมสื่อสาร และระบบพลังงาน โดยรัฐบาลต่างประเทศต้องการขัดขวางระบบต่าง ๆ เพื่อบ่อนทำลายความมั่นคงและความปลอดภัยของชาวออสเตรเลีย รวมทั้งทำลายภาพลักษณ์ความมั่นคงของออสเตรเลียด้วย
ผู้นำหน่วยข่าวกรองออสเตรเลียประเมินว่าการโจมตีทางไซเบอร์จะรุนแรงมากขึ้น เพราะต้องการให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจและลดขีดความสามารถด้านการรักษาความมั่นคงของออสเตรเลีย ตลอดจนคาดหวังให้การโจมตีทางไซเบอร์สร้างความขัดแย้งในสังคม รวมทั้งทำให้ประชาชนสูญเสียความเชื่อมั่นในการทำงานของรัฐบาล ขณะที่แฮ็กเกอร์มีขีดความสามารถสูงขึ้นและมีเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกในการจารกรรมข้อมูล ทำให้ตรวจสอบและสกัดกั้นยาก
นาย Burgess ยังกล่าวถึงกรณีระบบโทรศัพท์และการให้บริการของบริษัท Optus ของออสเตรเลียใช้งานไม่ได้เป็นระยะเวลา 13 ชั่วโมง เมื่อ กันยายน 2568 เป็นตัวอย่างเหตุการณ์ที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งและความไม่พอใจในสังคม แม้กรณีดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับการแทรกแซงหรือการโจมตีจากต่างชาติ แต่สะท้อนว่า โครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ มีความสำคัญอย่างมากและต้องร่วมมือกันป้องกันไม่ให้รัฐบาลต่างชาติเข้าไปแทรกแซงหรือควบคุม เพราะจะส่งผลเสียต่อความมั่นคงระดับชาติ
นอกจากภัยคุกคามจากการโจมตีทางไซเบอร์ นาย Burgess ยังเตือนว่าปัจจุบันรัฐบาลต่างชาติส่งสายลับเข้าไปปฏิบัติการรวบรวมข้อมูลและแทรกแซงการตัดสินใจของภาคเอกชนบ่อยครั้ง และการจารกรรมข้อมูลดังกล่าวทำให้ออสเตรเลียสูญเสียอำนาจต่อรองในการทำข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศ
ความเคลื่อนไหวของหน่วยต่อต้านข่าวกรองออสเตรเลียในครั้งนี้ สะท้อนว่ารัฐบาลออสเตรเลียต้องการใช้ข้อมูลภัยคุกคามและอันตรายที่เคยเผชิญผ่านมา เป็นหลักฐานในการวิเคราะห์และประเมินภัยคุกคามของชาติในอนาคต เพื่อเตรียมการทรัพยากรด้านความมั่นคงภายในประเทศให้พร้อมป้องกันและเผชิญหน้ากับความท้าทายดังกล่าว รวมทั้งประกาศต่อสาธารณะ เพื่อให้ประชาชนรับรู้ถึงแนวโน้มอันตรายใกล้ตัวในอนาคต และจะได้มีความพร้อมในการร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ด้านการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ด้วย
แนวทางการดำเนินนโยบายด้านความมั่นคงของออสเตรเลีย จึงถือว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของการเปิดเผยข้อมูลที่จำเป็นสู่สาธารณะเพื่อสร้างความตระหนักรู้เรื่องภัยคุกคามและความมั่นคงแห่งชาติ และเป็นอากสสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนร่วมกัน..ขณะเดียวกันก็เป็นการป้องปราม “รัฐต่างชาติ” ที่มุ่งจะบ่อนทำลายความมั่นคงของออสเตรเลียด้วย ได้แก่ จีน รวมทั้งเกาหลีเหนือ ซึ่งมีรายงานว่าปฏิบัติการโจมตีทางไซเบอร์ต่อออสเตรเลียเช่นกัน
รัฐบาลออสเตรเลียไม่ได้แจ้งเตือนประชาชนเพียงอย่างเดียว แต่เพิ่มมาตรการสกัดกั้นภัยคุกคามจากต่างประเทศ ผ่านการกดดันแฮกเกอร์ด้วยการประกาศคว่ำบาตรและห้ามเดินทางต่อกลุ่มแฮกเกอร์ที่มีข้อมูลว่ามีรัฐบาลเกาหลีเหนือให้การสนับสนุน โดยเมื่อ 6 พฤศจิกายน ประกาศคว่ำบาตรกลุ่ม Lazarus และนาย Park Jin-hyok แฮกเกอร์ชาวเกาหลีเหนือ จากกรณีโจมตีทางไซเบอร์แบบเรียกค่าไถ่ (ransomware) ที่บังคับให้เหยื่อในออสเตรเลียต้องจ่ายเงินดิจิทัล เพื่อให้เข้าถึงไฟล์คอมพิวเตอร์ของตน รวมทั้งกลุ่มแฮกเกอร์ Kimsuky, Andariel และ Chosun Expo ซึ่งโจมตีระบบสาธารณสุขระหว่างประเทศ บริษัทพลังงานนิวเคลียร์ และสถาบันวิจัยต่างๆ กลุ่ม และบุคคลเหล่านี้ ยังถูกคว่ำบาตรจากทางการเกาหลีใต้และสหรัฐฯ ด้วย
รายงานของคณะทำงานตรวจสอบการคว่ำบาตรพหุภาคี (Multilateral Sanctions Monitoring Team) ระบุว่า เมื่อปี 2567 กลุ่มแฮกเกอร์เกาหลีเหนือขโมยสกุลเงินดิจิทัลทั่วโลกอย่างน้อย 1.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากบริษัทต่าง ๆ โดยใช้เครือข่ายพลเมืองเกาหลีเหนือ และผู้ร่วมขบวนการในต่างประเทศในการฟอกเงิน รวมทั้งใช้สกุลเงินดิจิทัลในการซื้อขายยุทโธปกรณ์และวัตถุดิบทางทหาร อีกด้วย
ออสเตรเลียประเมินว่าภัยคุกคามจากการโจมตีทางไซเบอร์จะเป็นอันตรายร้ายแรงและต่อเนื่องไปอีก 5 ปี ดังนั้น รัฐบาลออสเตรเลียเพียงประเทศเดียวอาจไม่สามารถรับมือกับความท้าทายนี้ได้เพียงลำพัง จึงต้องร่วมมือกับต่างประเทศที่เผชิญความท้าทายในรูปแบบเดียวกัน (common threat) ได้แก่ สหรัฐฯ เพื่อควบคุมและสกัดกั้นภัยคุกคามจากภายนอก (external threat) ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลออสเตรเลียกำลังเร่งหารือกับสหรัฐฯ เพื่อขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ และการกดดันไม่ให้ประเทศที่อยู่เบื้องหลังความเคลื่อนไหวของกลุ่มแฮ็กเกอร์สามารถเคลื่อนไหวได้ เช่น เกาหลีเหนือ โดยอาจเพิ่มการคว่ำบาตรเพื่อไม้มีรายได้จากกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย
การควบคุมภัยคุกคามทางไซเบอร์จากภายนอก …อาจไม่เพียงพอต่อการรักษาความมั่นคงในประเทศ เพราะการโจมตีทางไซเบอร์ในยุคสมัยปัจจุบันและอนาคต จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากประชาชนในประเทศด้วย ดังนั้น รัฐบาลออสเตรเลียจะเร่งเรียกร้องให้ประชาชนมีความรู้และความเข้าใจเรื่องการป้องกันภัยทางไซเบอร์เบื้องต้น เฉพาะอย่างยิ่งระมัดระวังกับการตกเป็นเหยื่อจากการถูกล่อลวงทางไซเบอร์ และดูแลการรักษาระบบการปลอดภัยทางไซเบอร์ของตนเอง ผ่านเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้งานในชีวิตประจำวัน
ความพยายามของรัฐบาลออสเตรเลียสะท้อนว่าความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ของชาติ มีหลายปัจจัยเกี่ยวข้อง แม้ว่าหน่วยงานภาครัฐจะมีความรับผิดชอบหลักในการดูแลและค้ำประกันความปลอดภัยโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ และให้บริการต่อประชาชน แต่ปัจจุบันการล้วงข้อมูลสำคัญระดับชาติ หรือการแอบสอดแนมความเคลื่อนไหวและการตัดสินใจของเจ้าหน้าที่ระดับสูง อาจเกิดขึ้นได้ผ่านการเจาะระบบโทรศัพท์มือถือของประชาชนทั่วไป ดังนั้น การกระตุ้นเตือนให้ประชาชนร่วมกันระมัดระวังและไม่ละเลยมาตรการปกป้องข้อมูลสำคัญ อาจช่วยเสริมสร้างความมั่นคงให้ออสเตรเลียได้อย่างมาก ..
ส่วนปรากฏการณ์ด้านความมั่นคงระหว่างประเทศที่น่าติดตามต่อไปจากกรณีนี้ ก็คือ การตอบโต้ของจีนและเกาหลีเหนือ ที่ตกเป็นเป้าหมายโจมตีว่าอยู่เบื้องหลังกลุ่มแฮ็กเกอร์ต่าง ๆ ซึ่งอาจออกมาปฏิเสธความเกี่ยวข้อง และเปิดเผยข้อมูลที่เป้นผลเสียต่อภาพลักษณ์นโยบายความมั่นคงและต่างประเทศของออสเตรเลียเช่นกัน เพราะไม่ได้มีแต่จีนและเกาหลีเหนือเท่านั้นที่มีขีดความสามารถด้านปฏิบัติการทางไซเบอร์ ที่ปัจจุบันเป็น “เครื่องมือ” ที่สะท้อนพลังอำนาจของรัฐ นอกเหนือจากอาวุธทางทหารและความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ







