![]()

บทความเรื่องนี้จะชวนทำความรู้จักอีกมุมหนึ่งของมนุษย์ ที่พยายามใช้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์เพื่อเอาชนะธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยและการดำรงเผ่าพันธุ์ ซึ่งเป็นเป้าหมายตามสัญชาติญาณ ด้วยการใช้วิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือปรับพฤติกรรมของสัตว์ป่าให้กลายเป็นสัตว์เลี้ยง หรือกระบวนการ Domestication หรือการปรับให้เหมาะสมกับการใช้งานของมนุษย์นั่นเอง
บทความนี้จะเน้นที่การวิเคราะห์สาเหตุปัจจัยที่ทำให้กระบวนการดังกล่าวมีความสำคัญ และมีแนวโน้มจะเติบโตขึ้นเป็นอุตสาหกรรมที่ทำให้มนุษยชาติอยู่รอดต่อไปได้ มากกว่าเรื่องเทคโนโลยีล้ำสมัยแบบปัญญาประดิษฐ์เสียอีก!! …เนื่องจากกระบวนการปรับพฤติกรรมที่กำลังกล่าวถึงนี้ ไม่ใช่เรื่องการเปลี่ยนสัตว์ป่าให้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงเชื่อง ๆ ไว้เลี้ยงเพื่อความเพลิดเพลินหรือปลอบประโลมจิตใจเท่านั้น แต่กระบวนการนี้หมายรวมไปถึงการเปลี่ยนให้สัตว์ป่ากลายเป็นสัตว์เลี้ยงในอุตสาหกรรมปศุสัตว์ ที่เป็นแหล่งอาหารสำคัญของมนุษย์ด้วย
ดังนั้น กระบวนการ Domestication อาจสามารถเป็น “คำตอบ” สำหรับการแก้ไขปัญหาความไม่มั่นคงทางอาหาร หรือทรัพยากรที่น้อยลงจากสภาพภูมิอากาศแปรปรวนได้ แต่ในทางกลับกัน กระบวนการดังกล่าวกำลังเผชิญแรงต้านและการตั้งคำถามจากกลุ่มนักวิทยาศาสตร์และผู้ที่ศึกษาเรื่องวิวัฒนาการ รวมทั้งผลกระทบจากการใช้เทคโนโลยีชีวภาพแทรกแซงธรรมชาติ เพราะมีความเชื่อว่าวิถีทางธรรมชาติ หรือการกลับคืนสู่ธรรมชาติ (Feralisation) จะเป็นผลดีต่อความอยู่รอดของมนุษยชาติในระยะยาวมากกว่า …แล้วการปะทะสังสรรค์ระหว่าง 2 แนวคิดนี้จะนำเราไปถึงจุดไหน?
ขอเริ่มเรื่องราวด้วยการเล่าว่า กระบวนการ Domestication เริ่มจากจากอะไร และมีตัวอย่างอะไรบ้าง
ในยุคเริ่มแรกของกระบวนการ Domestication คือการเปลี่ยนแปลงพืชและสัตว์ป่าให้สามารถอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้อย่างสันติ โดยมุ่งเปลี่ยนทั้งพฤติกรรม ไปจนถึงรูปร่างลักษณะ เพื่อให้มนุษย์สามารถใช้งานหรือใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ …”วิทยาศาสตร์และความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีชีวภาพ” คือกุญแจสำคัญที่ทำให้กระบวนการนี้เติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะมนุษย์เอาชนะพืชและสัตว์ป่าได้ด้วยการดัดแปลงและปรับเปลี่ยนพันธุกรรม ที่จะส่งผลต่อสัญชาติญาณบางอย่าง จนทำให้ “เชื่อง” หรือรับคำสั่งจากมนุษย์ได้…ในกรณีของการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมพืช ส่วนมากเป็นไปเพื่อขยายจำนวนและความทนทานเพื่อให้สามารถกลายเป็นอาหารมากเพียงพอต่อการบริโภคของมนุษย์ แต่ในกรณีการเปลี่ยน “สัตว์ป่า” ให้กลายเป็น “สัตว์เลี้ยง” นั้นอาจมีสาเหตุสำคัญมาจาก 2 ปัจจัย
ปัจจัยแรก ในเชิงเศรษฐศาสตร์…มนุษย์ต้องการควบคุมสัตว์ป่าเพื่อให้กลายเป็นแรงงานและทรัพยากร เพราะสังคมยุคใหม่ไม่เอื้ออำนวยให้คนมีเวลามากพอจะออกไปล่าสัตว์แล้วนำกลับมาฝึกฝนให้เชื่องเพื่อใช้ประโยชน์ได้อีกต่อไป วงการวิทยาศาสตร์จึงพยายามค้นหาวิธีอยู่รอด ด้วยการวิจัยคิดค้นการทำความเข้าใจธรรมชาติ และเอาชนะมัน!! เท่ากับว่า การเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมและพฤติกรรมสัตว์ป่าเพื่อการใช้งานของมนุษย์ เป็นขั้นตอนสำคัญที่ทำให้กระบวนการ Domestication ได้รับการยอมรับทั่วโลก และกลายเป็นทางเลือกสำหรับการเพิ่มทรัพยากรเพื่อการอยู่รอดของมนุษย์ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน
ปัจจัยที่สอง ในเชิงอำนาจ …ว่ากันว่า แท้จริงแล้วกระบวนการปรับพฤติกรรมสัตว์ป่าให้เป็นสัตว์เลี้ยง อาจเกิดจากความต้องการในเชิงจิตวิทยาของมนุษย์ ที่ต้องการมีอำนาจเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตรูปแบบอื่น ๆ เพราะสิ่งมีชีวิตแรกที่ได้รับการปรับพฤติกรรมจนกลายเป็นสัตว์เลี้ยงตัวแรกของมนุษย์ ก็คือ “สุนัข” ซึ่งจากหลักฐานประวัติศาสตร์ได้บอกไว้ว่าสุนัขถูกปรับพันธุกรรมและพฤติกรรมก่อนพืชซะอีก!! สุนัข ถูกเปลี่ยนเป็นสัตว์เลี้ยงเมื่อ 15,000 ปีก่อน ส่วนข้าว ข้าวโพด และมันฝรั่ง ถูกเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมเพื่อให้กลายเป็นอาหารหลักของมนุษย์ในช่วง 12,000-10,000 ปีก่อน ขณะที่ไก่และม้าผ่านกระบวนการ Domestication เมื่อช่วง 5,000-7,000 ปีก่อนเท่านั้น อย่างไรก็ดี ข้อมูลทั้งหมดนี้ยังมีการทบทวนและศึกษาเพิ่มเติมอยู่ตลอด
อีกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเกี่ยวกับกระบวนการนี้ คือ การปรับพฤติกรรมม้าป่า ให้กลายเป็นม้าเลี้ยง เพื่อใช้ในการทำงานให้มนุษย์ รวมทั้งเป็นสัตว์เลี้ยงเพื่อความเพลิดเพลิน การเปลี่ยนวัวป่า (Aurochs) ให้กลายเป็นวัวเลี้ยงเพื่อการบริโภค ซึ่งประเด็นเรื่องม้าป่าและวัวป่านี้เองที่เริ่มทำให้เกิดการตั้งคำถามเกี่ยวกับความเหมาะสมของกระบวนการ Domestication จากนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์สายอนุรักษ์ หรือกลุ่มที่เชื่อเรื่องการกลับสู่ธรรมชาติ เพื่อให้พันธุกรรมและพฤติกรรมสัตว์นั้นเป็นไปตามวิวัฒนาการที่ควรจะเป็น มีความหลากหลายและมีโอกาสที่จะอยู่รอดได้นานมากกว่า “กลุ่มสัตว์เลี้ยง” ที่ผ่านการแทรกแซงจากมนุษย์
กระบวนการ Domestication มีแนวโน้มเติบโตและขยายตัวมากขึ้น เพราะจะเป็น “ทางเลือก” ที่ช่วยให้มนุษย์ดำรงชีพต่อไปได้ ไม่ว่าภูมิอากาศโลกจะแปรปรวนแค่ไหน หรือจะเกิดภัยพิบัติอะไร อย่างน้อย ๆ จะยังมีแหล่งอาหารเพียงพอ นอกจากนี้ นักวิจัยที่สนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ เพื่อใช้ตอบโจทย์การพัฒนาอย่างยั่งยืน ยังเชื่อว่าจะช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมมนุษย์ได้ด้วย …แต่นักวิจัยและกลุ่มที่เชื่อเรื่องวิวัฒนาการตามธรรมชาติ โต้แย้งด้วยการนำเสนอข้อมูลว่าสัตว์เลี้ยงเหล่านี้กำลังถูกปรับทั้งพฤติกรรมและพันธุกรรมให้อ่อนแอลงไปกว่าเดิม ไม่มีสัญชาติญาณในการเอาตัวรอดได้เองตามธรรมชาติ ไม่มีโอกาสในการเรียนรู้ และจะไม่มีความสามารถในการวิวัฒนาการทางชีวภาพให้ทนทานหรือแข็งแรงได้เอง
ลองจินตนาการภาพตามถึงภาพวัวป่าฝูงใหญ่ที่มีระบบการอยู่ร่วมกันเป็นฝูง และแบ่งหน้าที่เพื่อบริหารจัดการฝูงเพื่อให้อยู่รอด เอาชนะศัตรูตามธรรมชาติได้ แล้วเอาไปเปรียบเทียบกับวัวบ้าน ที่มีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีในคอกที่มนุษย์ดูแล ทำหน้าที่กินหญ้าไปวัน ๆ เพื่อรอฤดูกาลเก็บเกี่ยว …หรืออีกกรณีหนึ่งที่ต่างประเทศให้ความสนใจมาก คือ “ม้าป่า” ที่ถูกปรับให้เป็นม้าเลี้ยงตั้งแต่เมื่อประมาณ 6,000 ปีก่อน เพื่อให้มนุษย์นำไปใช้งานได้ โดยเฉพาะเพื่อเป็นยานพาหนะ ซึ่งนับว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประวัติศาสตร์และอารยธรรมมนุษยชาติเลยทีเดียว ปัจจุบันเริ่มมีการวิจัยที่บ่งชี้ว่า การปรับเปลี่ยนพันธุกรรมม้าป่าที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของสัตว์ชนิดนี้อย่างมาก รวมทั้งส่งผลให้เกิดปัญหา “ม้าป่าสูญพันธุ์” ในหลายประเทศ เพราะการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสัตว์ทำให้มีโอกาสสูญเสียสัญชาติญาณและวิวัฒนาการตามธรรมชาติ ท้ายที่สุด อาจต้องสูญเสียม้าป่าสายพันธุ์ที่เป็นเอกลักษณ์หรือมีความสำคัญต่อสังคมไป
ผลกระทบจากกระบวนการ Domestication นี้ ทำให้นักวิจัยสายอนุรักษ์เริ่มตั้งคำถามว่าท้ายที่สุดแล้ว การแทรกแซงธรรมชาติที่เกิดพอดีและรวดเร็วเกินไป อาจไม่ใช่ “กุญแจ” สู่ความอยู่รอด และเป็นการสร้างกุญแจเพื่อเปิดประตูสู่การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพครั้งใหญ่ รวมทั้งทำให้เผ่าพันธุ์ดั้งเดิมกลายเป็นชนกลุ่มน้อยทางชีวภาพ และเสี่ยงสูญพันธุ์ไปเอง
บทความนี้เชื่อว่า นักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์จะหาจุดสมดุลระหว่างกระบวนการ Domestication กับแนวคิด Feralisation ได้ ไม่ว่าเมื่อไหร่และอย่างไร ก็เพราะเป้าหมายของทั้ง 2 กลุ่มคือการหาวิธีการอยู่รอดของมนุษย์ร่วมกับธรรมชาติให้ได้ยาวนานและยั่งยืนมากที่สุดนั่นเอง โดยผู้เขียนบทความค่อนข้างเห็นด้วยที่จะให้ความสำคัญกับการหวนคืนสู่ธรรมชาติให้ได้มากที่สุด เพราะวิวัฒนาการตามธรรมชาติอาจจะใช้เวลานาน แต่ช่วยรักษาความหลากหลายทางชีวภาพมาได้หลายยุคสมัย รวมทั้งเชื่อว่าการรักษาสัญชาติญาณตามธรรมชาติให้ทำงานอยู่อย่างต่อเนื่อง เป็นเหมือน “ทักษะพิเศษ” ที่ไม่มีอะไรมาทดแทนได้ ดังนั้น การผสมผสาน 2 แนวทางให้สมดุลอาจเป็นประโยชน์ต่อการเอาตัวรอดของมนุษย์ในอนาคต มากกว่าการเลือกทางใดเพียงทางเดียว







