สำนักข่าว Reuters รายงานเมื่อ 28 พ.ย.64 ว่า สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ S&P Global Ratings ปรับระดับความน่าเชื่อถือทางการเงินของบาห์เรน เป็นระดับมีเสถียรภาพ (stable) จากระดับลบ (negative) โดยมีปัจจัยจากการประกาศใช้แผนปฏิรูปการคลังเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับรายได้จากภาคเศรษฐกิจที่มิใช่น้ำมัน (non-oil) ของรัฐบาล และสภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน ทั้งนี้ สถานการณ์แพร่ระบาดของโรค COVID-19 ในห้วงปี 2563-2564 ส่งผลให้สถานะทางเงินของรัฐบาลบาห์เรนตึงตัวจนต้องเลื่อนการประกาศใช้แผนปรับสมดุลงบประมาณในห้วงปี 2565-2566 เมื่อ ก.ย.64 และหันมาประกาศใช้แผนการเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นร้อยละ 10 ภายในปี 2565 โดย S&P คาดการณ์ว่าการดำเนินการดังกล่าวของรัฐบาลบาห์เรน จะทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product-GDP) เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 3 ในไม่กี่ปีข้างหน้า จากปี 2564 อยู่ที่ร้อยละ 1.7 อีกทั้งบาห์เรนอาจได้รับการสนับสนุนทางการเงินเพิ่มเติมจากประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย คูเวต และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (United Arab Emirates-UAE) หากจำเป็น หลังจากเมื่อปี 2561 ประเทศดังกล่าวเคยให้การสนับสนุนทางการเงินแก่บาห์เรนมูลค่ารวม 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อช่วยบรรเทาวิกฤตสินเชื่อภายในประเทศ