เมื่อ 26 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา ไต้หวันมีการเลือกตั้งท้องถิ่นทั่วประเทศ แม้ว่าเป็นแค่การเลือกตั้งท้องถิ่น แต่ตำแหน่งที่อยู่ในแสงไฟอย่างผู้ว่ากรุงไทเปเป็นที่จับตามองมาก เพราะประธานาธิบดีส่วนใหญ่ของไต้หวันล้วนเคยดำรงตำแหน่งผู้ว่าการกรุงไทเปมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นนายเฉิน สุยเปียน (Chen Shui-bien) นายหม่า อิงจิ่ว (Ma Ying-Jeou) ยกเว้นแค่ประธานาธิบดีไช่ อิงเหวินคนปัจจุบันที่เคยแพ้การเลือกตั้งผู้ว่าการกรุงไทเป
ผลการเลือกตั้งปรากฏว่านายเจี่ยง ว่านอัน (Chiang Wan-an) อายุ 43 ปี จากพรรคก๊กมินตั๋ง ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านได้รับ ชัยชนะ และก้าวขึ้นเป็นผู้ว่าราชการกรุงไทเปที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ นายเจี่ยง ว่านอัน แม้ว่าจะเป็นนักการเมืองที่อายุน้อย แต่เคยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภามาแล้ว 2 สมัย และสิ่งที่น่าสนใจคือการเป็นเหลนชายของจอมพลเจี่ยง ไคเชก ผู้อพยพรัฐบาลสาธารณรัฐจีนมายังเกาะไต้หวันเมื่อปี 2492
นายว่านอันเป็นบุตรชายของเจี่ยง เสี้ยวหยาน (Chiang Hsiao-yen) อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเป็นบุตรชายที่เกิดจากภรรยาลับของอดีตประธานาธิบดีเจี่ยง จิงกว๋อ (Chiang Ching-kuo) บุตรชายคนเดียวของจอมพลเจี่ยง ไคเชก การกลับมาอีกครั้งของทายาทตระกูลเจี่ยงจึงเป็นที่จับตามองเป็นพิเศษในฐานะตระกูลการเมืองที่ทรงอิทธิพลที่สุดของไต้หวัน
สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ยังคงเป็นการแบ่งขั้วระหว่างค่ายสีเขียวพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าหรือ DDP(Democratic Progressive Party) ตัวแทนแนวคิดสนับสนุนความเป็นเอกราชของไต้หวันซึ่งเป็นรัฐบาลในปัจจุบัน กับฝ่ายค้านพรรคการเมืองเก่าแก่อย่างพรรคก๊กมินตั๋ง หรือ KMT(Kuomintang) ผู้นำค่ายสีน้ำเงินตัวแทนของแนวคิดอนุรักษ์นิยมและประนีประนอมกับจีน โดยพรรครัฐบาล DPP ตัดสินใจส่งนายเฉิน สือจง (Chen Shi-chuang) อายุ 68 ปี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่มีผลงานนำพาไต้หวันผ่านพ้นวิกฤตโควิดในช่วงแรกจนได้รับคำชมจากนานาชาติ แต่กลับแพ้การเลือกตั้งในครั้งนี้ เหตุผลหนึ่งคือการที่นายเฉินลาออกจากตำแหน่งเพื่อมาลงรับการเลือกตั้ง ในขณะที่การแพร่ระบาดของโควิดยังคงอยู่เสมือนเป็นการละทิ้งหน้าที่
นอกจากนี้ความพยายามของพรรครัฐบาลในการเรียกร้องให้ประชาชนนึกถึงคุณค่าของประชาธิปไตยและโจมตีพรรคฝ่ายค้านที่มีแนวโน้มประนีประนอมกับจีนไม่ได้ผล ประชาชนเริ่มกังวลกับสงครามที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างจีนและไต้หวันหากรัฐบาลข้ามเส้นกับจีนมากจนเกินไป ซึ่งพิจารณาได้จากท่าทีที่แข็งกร้าวของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนในการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ผ่านมา และไต้หวันอาจจะกลายสภาพเป็นเหมือนยูเครน
ผลการเลือกตั้งครั้งนี้จึงสะท้อนคะแนนนิยมของพรรครัฐบาลที่ไม่ดีนัก จนกระทั่งประธานาธิบดีไช่ อิงเหวิน ต้องลาออกจากหัวหน้าพรรค DPP เพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบกับเรื่องที่เกิดขึ้น
ในขณะที่นายเจี่ยง ว่านอัน เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีหน้าตาและบุคลิกภาพดี จบการศึกษานิติศาสตร์ ที่มหาวิทยาแห่งชาติเจิ้งจื้อ ก่อนที่จะไปศึกษาต่อในระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย มหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐอเมริกา และทำงานที่สำนักงานกฎหมายในสหรัฐอเมริกา ก่อนที่จะตัดสินใจเข้าสู่การเลือกตั้งในปี 2559 และประสบความสำเร็จเป็นสมาชิกสภา ตั้งแต่สมัยแรกและได้รับการเลือกตั้งอีกครั้งในปี 2563 ก่อนที่พรรคจะตัดสินใจให้เป็นผู้แทนในการเลือกตั้งผู้ว่าการกรุงไทเป
แม้ว่านายเจี่ยง ว่านอันจะมาจากพรรคอนุรักษ์นิยมอย่างพรรคก๊กมินตั๋ง แต่ด้วยผลงานต่อนโยบายเสรีนิยมที่โดดเด่น เช่น การเป็น ส.ส. ของพรรคก๊กมินตั๋งเพียงไม่กี่คนที่ลงคะแนนสนับสนุนกฎหมายสมรสเพศเดียวกันที่นำเสนอโดยรัฐบาล หรือแม้กระทั่งการสนับสนุนให้เปลี่ยนแปลงอนุสรณ์สถานของจอมพลเจียง ไคเชก ที่ถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของเผด็จการ ตลอดจนส่งเสริมการให้ความเป็นธรรมกับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการปกครองภายใต้กฎอัยการศึกของจอมพลเจี่ยง ไคเชก และประธานาธิบดีเจี่ยง จิงกว๋อ ผู้ที่มีฐานะเป็นปู่ของเค้าเอง นายเจี่ยง ว่านอันจึงถูกมองเป็นคนรุ่นใหม่ของพรรคก๊กมินตั๋งที่สามารถดึงคะแนนจากคนสูงอายุที่สนับสนุนพรรคเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และการเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีภาพลักษณ์โดดเด่นยินยอมให้มีการตรวจสอบแม้ว่าจะเป็นบรรพบุรุษของตนเอง จึงทำให้คะแนนของคนรุ่นใหม่บางส่วนเทคะแนนให้
….เขาจึงนับเป็นดาวดวงใหม่ที่มาช่วยชีวิตพรรคก๊กมินตั๋งที่พ่ายแพ้อย่างหนักในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี 2563 เนื่องจากไม่มีผู้สมัครที่มีคุณสมบัติเทียบเคียงกับพรรครัฐบาลได้ นายเจี่ยง ว่านอันจึงถูกมองว่าอาจจะเป็นตัวแทนพรรคก๊กมินตั๋งในการเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวันในปี 2571 ซึ่งหากเขาทำสำเร็จ…ก็จะเป็นประธานาธิบดีจากตระกูลเจี่ยงคนที่สามที่ปกครองสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน)