สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล
Federal Democratic Republic of Nepal
เมืองหลวง กาฐมาณฑุ
ที่ตั้ง ตั้งอยู่บนที่ราบสูงทางทิศใต้ของเทือกเขาหิมาลัย บริเวณเส้นละติจูดที่ 28 องศาเหนือ เส้นลองจิจูดที่ 84 องศาตะวันออก มีพื้นที่ 147,181 ตร.กม. ไม่มีทางออกทะเล
อาณาเขต ความยาวของเส้นพรมแดนทั้งหมด 3,159 กม.
ทิศเหนือ ติดกับทิเบต และจีน (1,389 กม.)
ทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก ติดกับอินเดีย (1,770 กม.)
ภูมิประเทศ ทางตอนใต้เป็นที่ราบ มีแม่น้ำคงคาไหลผ่าน ทางตอนกลางและเหนือเป็นเทือกเขา ที่สำคัญ ได้แก่ เทือกเขาหิมาลัย
ภูมิอากาศ ภูมิอากาศของเนปาลมีความหลากหลาย แตกต่างกันตามระดับความสูง ความสูงต่ำกว่า 1,200 ม. จะมีภูมิอากาศแบบเขตร้อน ความสูง 1,200-2,400 ม. มีอากาศเย็น ความสูง 2,400-3,600 ม. มีอากาศหนาว ความสูง 3,600-4,400 ม. มีอากาศคล้ายเขตอาร์กติก และความสูง 4,400 ม.ขึ้นไป มีสภาพอากาศแบบอาร์กติก ระดับความสูงที่แตกต่างกันมีผลกระทบต่อระดับน้ำฝน โดยภาคตะวันออกมีปริมาณน้ำฝนปีละประมาณ 2,500 มม. ขณะที่กาฐมาณฑุมีปริมาณน้ำฝน 1,420 มม. และภาคตะวันตกมีปริมาณน้ำฝนปีละประมาณ 1,000 มม. ภูมิอากาศของเนปาลแบ่งเป็น 4 ฤดู ได้แก่ 1) ก่อนมรสุมฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่ เม.ย.-พ.ค. ในบริเวณพื้นที่ราบมีอากาศร้อนประมาณ 40 องศาเซลเซียส ขณะที่ในเขตภูเขามีอากาศเย็น 2) มรสุมฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่ มิ.ย.-ก.ย. โดยลมมรสุมนำความชื้นจากภาคตะวันตกเฉียงใต้พัดผ่าน 3) หลังมรสุมฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่กลาง ต.ค.-ธ.ค. อากาศเริ่มเย็นขึ้นและแห้งแล้ง และ 4) มรสุมฤดูหนาว เริ่มตั้งแต่ ธ.ค.-มี.ค. โดยมีลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดผ่าน ในเขตที่ราบต่ำจะมีฝนลดลง และในเขตภูเขาสูงจะมีอากาศหนาวและหิมะตก ภัยธรรมชาติที่เนปาลประสบอยู่เป็นประจำ ได้แก่ น้ำท่วม ดินถล่ม และความแห้งแล้ง
ศาสนา ฮินดู 80.7% พุทธ 10.3% อิสลาม 4.6% คริสต์ 0.5% อื่น ๆ 0.3%
ภาษา ภาษาเนปาลีเป็นภาษาประจำชาติ 47.8% แต่นิยมใช้ภาษาอังกฤษในการติดต่อราชการและธุรกิจ นอกจากนี้ ยังมีภาษาท้องถิ่น เช่น Maithali 12.1% Bhojpuri 7.4% Tharu (Dagaura/Rana) 5.8% Tamang 5.1% Newar 3.6% Magar 3.3% Awadhi 2.4% Vnjoq 10%
การศึกษา อัตราการรู้หนังสือ 64.9% เด็กอายุ 15 ปีขึ้นไปสามารถอ่านออกเขียนได้ รัฐบาลเนปาล
จัดการศึกษาแบบให้เปล่าในระดับประถมศึกษา และเป็นภาคบังคับ 5 ปีให้แก่เด็กอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป หลักสูตรการศึกษาได้รับอิทธิพลจากสหรัฐฯ และได้รับความช่วยเหลือในการพัฒนาหลักสูตรจากสหประชาชาติ เนปาลมีสถาบันแพทย์เพียง 1 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยตรีภูวัน งบประมาณด้านการศึกษาประมาณ 13.19% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product-GDP) ปี 2563
วันชาติ 29 พ.ค. (เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นสาธารณรัฐเมื่อปี 2551)
นาย Ramchandra Paudel
ประธานาธิบดีเนปาล
ประชากร ประมาณ 30, 990,243 คน (ต.ค.2566) ประกอบด้วย ชนหลากหลายเชื้อชาติ (ข้อมูลปี 2554 มีประมาณ 125 เชื้อชาติ) ที่สำคัญ คือ เชื้อสาย Chhetri 16.6% Brahman-Hill 12.2% Magar 7.1% Tharu 6.2% Tamang 5.8% Newar 5% Kami 4.8% Yadav 4% อื่น ๆ 32.7% อัตราส่วนประชากรจำแนกตามอายุ : วัยเด็ก (0-14 ปี) 29% วัยรุ่นถึงวัยกลางคน (15-64 ปี) 65% และวัยชรา (65 ปีขึ้นไป) 6% อายุขัยเฉลี่ยของประชากรเนปาลโดยรวมประมาณ 70.8 ปี อายุขัยเฉลี่ยเพศชายประมาณ 69 ปี อายุขัยเฉลี่ยเพศหญิงประมาณ 73 ปี อัตราการเกิด 17.26 คนต่อประชากร 1,000 คน อัตราการตาย 5.59 คนต่อประชากร 1,000 คน อัตราการเพิ่มของประชากร 1.14%
การก่อตั้งประเทศ เนปาลก่อตั้งขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 18 โดยสมเด็จพระราชาธิบดี Prithvi Narayan Shah แห่งราชวงศ์ชาห์ ผู้ปกครองแคว้น Gorkha รวบรวมรัฐต่าง ๆ ก่อตั้งเป็นอาณาจักร Gorkha หลังจากนั้น
ผู้สืบทอดราชบัลลังก์ของสมเด็จพระราชาธิบดี Prithvi Narayan Shah ไม่สามารถรักษาเสถียรภาพการปกครองราชอาณาจักรไว้ได้ เกิดความไม่สงบภายใน ส่งผลให้สหราชอาณาจักรสามารถยึดครองอาณาจักร Gorkha ได้ตั้งแต่ปี 2357-2359 หลังจากปี 2389 ตระกูลรานา (Rana) กอบกู้เสถียรภาพกลับคืนมาสู่เนปาล ตั้งตนเป็น นรม. และสืบทอดอำนาจทางสายเลือด รวมทั้งลดทอนอำนาจกษัตริย์เป็นเพียงสัญลักษณ์ การปกครองของตระกูลรานายึดแนวการบริหารประเทศจากส่วนกลาง และดำเนินนโยบายโดดเดี่ยวเนปาลจากอิทธิพลภายนอก ทำให้เนปาลรอดพ้นยุคล่าอาณานิคมมาได้โดยที่ไม่ได้ตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศใด แต่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
ในช่วงปี 2493 สมเด็จพระราชาธิบดีตรีภูวัน ผู้สืบสกุลโดยตรงของสมเด็จพระราชาธิบดี Prithvi Narayan Shah ซึ่งหลบหนีไปยังอินเดียได้จับอาวุธขึ้นต่อต้านการปกครองของตระกูลรานา ส่งผลให้สามารถรื้อฟื้นการปกครองโดยราชวงศ์ชาห์ และเข้าสู่ยุคการปกครองแบบกึ่งรัฐธรรมนูญ มีการจัดตั้ง
พรรคการเมือง ซึ่งตั้งแต่ปี 2493 เป็นต้นมา มีความพยายามร่างรัฐธรรมนูญและจัดตั้งรัฐบาล โดยยึดแนวทาง
การปกครองแบบสหราชอาณาจักร จนกระทั่งปี 2533 เนปาลมีประชาธิปไตยแบบหลายพรรคการเมืองโดยพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้กฎหมาย
ตั้งแต่ปี 2539 กลุ่มนิยมลัทธิเหมาทำสงครามประชาชน และมีการสู้รบยืดเยื้อ จนกระทั่งปี 2549 ได้จัดทำข้อตกลง และจัดการเจรจาสันติภาพระหว่างรัฐบาลเนปาลกับกลุ่มนิยมลัทธิเหมา ต่อมา เมื่อปี 2544 เกิดเหตุปลงพระชนม์หมู่ราชวงศ์โดยเจ้าชายฑิเปนทรา และการสถาปนาสมเด็จพระราชาธิบดี คเยนทราขึ้นครองราชย์ สร้างความไม่พอใจให้ประชาชน ขณะเดียวกันกลุ่มนิยมลัทธิเหมาสามารถขยายอิทธิพลเข้ามายังเมืองหลวง และยุยงให้มีการประท้วงต่อต้านสถาบันกษัตริย์ จน เม.ย.2549 สมเด็จพระราชาธิบดี คเยนทรายอมคืนอำนาจให้ประชาชน ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญ
การเมือง ปกครองแบบสาธารณรัฐ มีประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศ และ นรม.เป็นผู้บริหารประเทศ แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 14 เขต
ฝ่ายบริหาร : ประธานาธิบดีมาจากการสรรหาของสมาชิกรัฐสภา ส่วน นรม.มาจากการเลือกตั้งของประชาชน มีอำนาจแต่งตั้ง ครม.
ฝ่ายนิติบัญญัติ : สภาร่างรัฐธรรมนูญมีสมาชิก 601 คน โดยมาจากการเลือกตั้งโดยตรง 240 คน ตัวแทนจากทั่วประเทศ 335 คน และมาจากการสรรหาของ ครม. 26 คน การเลือกตั้งครั้งล่าสุดเมื่อ 19 พ.ย.2556
ฝ่ายตุลาการ : ศาลสูงสุด นอกจากทำหน้าที่เป็นศาลสูงสุด ยังทำหน้าที่เป็นศาลอุทธรณ์ด้วย
พรรคการเมืองสำคัญ ได้แก่ พรรคคองเกรสเนปาล (Nepali Congress-NC) พรรคคอมมิวนิสต์เนปาล (Communist Party of Nepal/Maoist-CPN-Maoist Centre) พรรค Communist Party of Nepal/United Marxist Leninist Party-CPN/UML) พรรค Communist Party of Nepal (Unified Socialist) พรรค Rastriya Swatantra Party (RSP) พรรค Rastriya Prajatantra Party (RPP) พรรค Rastriya Janamorcha พรรค People’s Socialist Party (PSP) และพรรค Loktantrik Samajwadi Party (LSP)
เศรษฐกิจ เนปาลเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก ประชากรเกือบ 1 ใน 4 มีรายได้ต่ำกว่าระดับมาตรฐานความยากจน เนปาลเริ่มพัฒนาไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในช่วงปี 2493 และพัฒนาไปสู่ระบบเศรษฐกิจแบบเสรี เนปาลดำเนินแผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปี ตั้งแต่ปี 2545 แต่ยังคงพึ่งพาความช่วยเหลือ
ด้านการเงินจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นครึ่งหนึ่งของงบประมาณการพัฒนาประเทศ ขณะที่รัฐบาลเนปาลให้คำมั่น
ในการบริหารประเทศอย่างโปร่งใส ธรรมาภิบาล และเชื่อถือได้ โดยเริ่มดำเนินโครงการพัฒนา และตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
การเกษตรยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจเนปาล โดยมีการจ้างงานกว่า 71% ของจำนวนประชากร และมีพื้นที่เพาะปลูกประมาณ 25% ผลผลิตการเกษตรที่สำคัญ ได้แก่ ข้าว และข้าวสาลี อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ อุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร เช่น ถั่ว ปอ อ้อย ยาสูบ เมล็ดพืช ทรัพยากรธรรมชาติสำคัญ ได้แก่ แร่ควอตซ์ ไม้ ไฟฟ้า พลังน้ำ แร่ลิกไนต์ ทองแดง โคบอลต์ และแร่เหล็ก อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจเนปาลมีการขยายตัวเพียงเล็กน้อย เพราะได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหวและอินเดียปิดกั้นทางการค้าเมื่อปี 2558
เนปาลใช้ประโยชน์จากศักยภาพด้านการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำที่ผลิตได้ปีละประมาณ 42,000 เมกะวัตต์ แต่ความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง เทคโนโลยีที่ยังคงล้าสมัย พื้นที่ที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล ความไม่สงบทางการเมือง การชุมนุมประท้วงของผู้ใช้แรงงานและชนพื้นเมือง ตลอดจนภัยธรรมชาติเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการลงทุนของต่างประเทศ
ปีงบประมาณ 16 ก.ค.-15 ก.ค.
สกุลเงิน ตัวย่อสกุลเงิน : เนปาลรูปี (Nepal Rupee/NPR)
อัตราแลกเปลี่ยนต่อดอลลาร์สหรัฐ : 1 ดอลลาร์สหรัฐ : 132.05 เนปาลรูปี
อัตราแลกเปลี่ยนต่อบาท : 1 บาท : 3.65 เนปาลรูปี (ต.ค.2566)
ดัชนีเศรษฐกิจสำคัญ (ปี 2566)
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) : 42,130 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ : 5.04%
รายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปี : 1,371 ดอลลาร์สหรัฐ
แรงงาน : ประมาณ 12,000,000 คน
อัตราการว่างงาน : 5.1%
อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย : 7.68%
ดุลบัญชีเดินสะพัด : ขาดดุล 635 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ดุลการค้าระหว่างประเทศ : ขาดดุล 868.46 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
มูลค่าการส่งออก : 101.54 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ก.ค.2566)
สินค้าส่งออกสำคัญ : น้ำมันถั่วเหลือง เสื้อผ้าสำเร็จรูป พรม ผ้าปาสมีนา สิ่งทอ น้ำผลไม้ และสินค้าจากปอ
คู่ค้าสำคัญ : อินเดีย สหรัฐฯ และตุรกี
มูลค่าการนำเข้า : 970 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ก.ค.2566)
สินค้านำเข้าสำคัญ : ผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียม น้ำมันถั่วเหลืองดิบ น้ำมันปาล์มดิบ เครื่องจักรและส่วนประกอบ เหล็กและแร่หิน ทองคำ เครื่องใช้ไฟฟ้า และเวชภัณฑ์
คู่ค้าสำคัญ : อินเดีย จีน อินโดนีเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และสหรัฐฯ
การทหาร กองทัพเนปาลมีกำลังพล 96,600 นาย แบ่งเป็น ทบ. และ ทอ. (เนปาล ไม่มี ทร. เนื่องจากไม่มีทางออกสู่ทะเล) นอกจากนี้ ยังมี กกล.ตำรวจที่เป็นพลเรือน 47,000 นาย กกล.ตำรวจติดอาวุธ 15,000 นาย และมีการรวมกำลังพลของกลุ่มนิยมลัทธิเหมากว่า 3,000 นาย เข้ามาประจำการในกองทัพของเนปาล (เป็นครั้งแรกของเอเชียใต้ที่อดีตกำลังพลของกองกำลังกบฏได้เข้ามาประจำการในกองทัพของรัฐ ซึ่งต้องผ่านการอบรมถึง 2 ปี) ส่วนยุทธปัจจัยทางการทหารของกองทัพเนปาลส่วนใหญ่มาจากจีน อินเดีย และสหรัฐฯ ที่สำคัญ เช่น รถสายพานลำเลียงพลหุ้มเกราะ 253 คัน ปืนใหญ่อย่างน้อย 92 กระบอก บ.รบ 7 เครื่อง และ ฮ. 12 เครื่อง
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของเนปาลกำหนดให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพเนปาล มาจากสมาชิกสภาความมั่นคงแห่งชาติ ส่วนการเกณฑ์กำลังพลเป็นการรับอาสาสมัครชายอายุขั้นต่ำ 18 ปี งบประมาณทางทหารปี 2566 จำนวน 437,580,000 ดอลลาร์สหรัฐ
ปัญหาด้านความมั่นคง
1) เนปาลมีปัญหาความไม่สงบที่เกิดจากความขัดแย้งภายในของเนปาลเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ซึ่งชนพื้นเมือง/ชนกลุ่มน้อยต้องการให้เพิ่มอำนาจปกครองตนเองแก่ชนพื้นเมือง เพื่อให้มีสิทธิเสรีภาพทางการเมืองมากขึ้น และเพื่อเป็นประโยชน์แก่ชุมชนที่ด้อยโอกาสในสังคมมานาน ขณะที่หลายพรรคการเมือง เห็นว่า การแยกเขตการปกครองสำหรับชนพื้นเมืองจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ อีกทั้งเนปาลมีประชากรหลากหลายชาติพันธุ์ (ประมาณ 125 ชาติพันธุ์) นอกจากนี้ เนปาลกำลังเผชิญภัยคุกคามจากยาเสพติดมากขึ้น โดยเฉพาะกัญชา และอาจกำลังถูกใช้เป็นจุดลำเลียงยาเสพติดจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปเอเชียใต้และตะวันออกกลาง
2) ความต้องการอำนาจทางการเมืองของกลุ่มชาติพันธุ์พื้นเมือง การบ่มเพาะแนวคิดหัวรุนแรง และการทุจริต โดยปัญหาอาชญากรรมที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากการอพยพย้ายถิ่นเข้าสู่สังคมเมืองของประชากร รวมทั้งความเสี่ยงที่จะเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ อาทิ แผ่นดินไหว อุทกภัย และแผ่นดินถล่ม ขณะที่ปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามจำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต ซึ่งเนปาลยังขาดองค์ความรู้ด้านการป้องกันและการแก้ไขปัญหา
ความสัมพันธ์ไทย-เนปาล
ไทยและเนปาลสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตในระดับอัครราชทูตเมื่อ 30 พ.ย.2502 และ
ยกระดับเป็นเอกอัครราชทูตเมื่อปี 2512 และไทยส่งทหารเข้าร่วมปฏิบัติหน้าที่ในกองกำลังของสหประชาชาติ (United Nations Mission in Nepal-UNMIN) เพื่อทำการตรวจสอบอาวุธและกองกำลังของกลุ่มนิยมลัทธิเหมา และกองทัพเนปาล และสนับสนุนการจัดการเลือกตั้งเมื่อ 10 เม.ย.2551
เนปาลเป็นคู่ค้าอันดับที่ 6 ของไทยในภูมิภาคเอเชียใต้ รองจากอินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ ศรีลังกา และมัลดีฟส์ และแม้ว่าการค้าและการลงทุนของทั้งสองประเทศไม่สูงมากนัก แต่เนปาลพร้อม
ให้การต้อนรับและสนับสนุนนักลงทุนไทยอย่างเต็มที่ โดยโอกาสที่จะได้รับ คือ สามารถลงทุนเพื่อการส่งออกสินค้าไปยังประเทศที่ 3 ได้ เช่น ชายแดนทางเหนือติดกับจีน ซึ่งจีนให้สิทธิพิเศษทางภาษีกับเนปาลในสินค้ากว่า 100 รายการ ส่วนชายแดนทางใต้ติดกับอินเดีย ผู้ส่งออกจะได้สิทธิพิเศษทางภาษี ถือเป็นการช่วยลดต้นทุนการส่งออกได้อย่างมาก
มูลค่าการค้าระหว่างไทย-เนปาลเมื่อ ม.ค.-ส.ค.2566 ไทยนำเข้าสินค้าจากเนปาลมูลค่า 0.77 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และส่งออกสินค้าไปเนปาลมูลค่า 32.20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าสำคัญที่ไทยส่งออกไปเนปาล ได้แก่ เส้นใยประดิษฐ์ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องสำอาง สบู่และผลิตภัณฑ์รักษาผิว สินค้าปศุสัตว์อื่น ๆ สินค้าสำคัญที่ไทยนำเข้าจากเนปาล ได้แก่ ผลิตภัณฑ์สิ่งทออื่น ๆ เสื้อผ้าสำเร็จรูป เนปาลขอให้ไทยส่งเสริมให้เอกชนไทยเข้าไปลงทุนในเนปาล โดยเฉพาะการลงทุนในอุตสาหกรรมผ้าไหม กาแฟ ผลผลิตทางการเกษตรที่มีมูลค่าสูง และการลงทุนที่จะพัฒนาพืชสวนและไม้ตัดดอก โครงสร้างพื้นฐาน
นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือด้านศาสนาและวัฒนธรรม เนื่องจากเนปาลมีสถานที่สำคัญทาง
พุทธศาสนา ได้แก่ เมืองลุมพินี หรือเมืองจานักปูร์ ขณะที่ไทยและเนปาลตกลงจัดทำแผนปฏิบัติการ
ความร่วมมือด้านวัฒนธรรม เพื่อเป็นช่องทางนำไปสู่การท่องเที่ยวเชิงพุทธศาสนาและเชิงนิเวศ
ข้อตกลงสำคัญระหว่างไทยกับเนปาล ได้แก่ ความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างอาณาเขตของแต่ละฝ่ายและพ้นจากนั้นไป (29 ต.ค.2514) หนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างไทยกับเนปาลว่าด้วยการได้มาซึ่งที่ดินและสิ่งก่อสร้าง เพื่อใช้เป็นที่ทำการและที่พักของ สอท. (14 ก.ค.2526) ความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงการรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ (2 ก.พ.2541) ความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการ (พิเศษ) ซึ่งลงนามเมื่อ 8 ม.ค.2542 บังคับใช้เมื่อ 22 ก.พ.2542
สถานการณ์ที่น่าติดตาม
การปรับเปลี่ยนรัฐบาลเนปาลภายใต้การนำของ นรม. Pushpa Kamal Dahal หรือ “Prachanda” หัวหน้าพรรค Communist Party of Nepal-Maoist Centre (CPN-Maoist Centre) ที่ทำข้อตกลงกับพรรค Nepali Congress ซึ่งมีจำนวน สส.มากที่สุดในรัฐสภา และพรรค Communist Party of Nepal-Unified Socialist (CPN-Unified Socialist) โดยนาย Prachanda จะดำรงตำแหน่ง นรม.เป็นเวลา 2 ปี จากนั้นผู้นำพรรค CPN-Unified Socialist จะดำรงตำแหน่ง นรม. 1 ปี และผู้นำพรรค Nepali Congress จะดำรงตำแหน่ง นรม. ในช่วง 2 ปีสุดท้ายก่อนครบวาระรัฐบาล อย่างไรก็ดี การมีพรรคร่วมรัฐบาลจำนวนมากสร้างปัจจัยเสี่ยงในการต่อรองผลประโยชน์ได้เช่นกัน และอาจส่งผลให้เกิดการปรับเปลี่ยนรัฐบาลบ่อยครั้ง
ปัจจุบัน รัฐบาลเนปาล ประกอบด้วย พรรคร่วมรัฐบาล 10 พรรค โดยมี สส. จำนวน 182 เสียง จากทั้งหมด 275 เสียง ในจำนวนนี้อย่างน้อย 148 เสียง มาจาก 5 พรรคร่วมรัฐบาลสำคัญ ได้แก่ 1) พรรค Nepali Congress 87 เสียง 2) พรรค Rastriya Swatantra 19 เสียง 3) พรรค CPN-Unified Socialist 10 เสียง 4) พรรค Loktantrik Samajwadi Party (LSP) 4 เสียง และ 5) พรรค CPN-Maoist Centre ของนาย Prachanda 32 เสียง ส่วน สส.ที่เหลือมาจาก 5 พรรคขนาดเล็ก ทำให้รัฐบาลเนปาลมีจำนวน สส.เกินกึ่งหนึ่ง (138 เสียง) มากกว่ารัฐบาลชุดเดิมที่มีพรรคร่วมรัฐบาล 7 พรรค อีกทั้งแต่งตั้ง รมต.เพิ่มขึ้นอีก 16 ตำแหน่ง ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ เนื่องจากมีจำนวน สส.พรรคร่วมรัฐบาลเพิ่มมากขึ้น