ถ้าจับเอาทุกประเทศทั่วโลกมายืนเรียงลำดับกันตามอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมือง ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง พาชาวจีนมายืนอยู่ลำดับที่ 2 และกำลังท้าทายตำแหน่งหัวแถวของสหรัฐฯ จนอยู่ไม่สุข ความสำเร็จเช่นนี้ เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนถึงการบรรลุเป้าหมาย “ความฝันของจีน” หรือ “Chinese Dream” ที่ประธานาธิบดีสีให้คำมั่นสัญญากับประชาชนไว้ตั้งแต่ตอนที่ขึ้นดำรงตำแหน่งว่าจะฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ให้กับจีน หลังจากชาติที่เคยเป็นมหาอำนาจอย่างจีนต้องทุกข์ทนอยู่กับ “ศตวรรษที่น่าอับอาย” ตั้งแต่ปลายราชวงศ์ชิงจนถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ประเทศตะวันตกและญี่ปุ่นหมุนเวียนเปลี่ยนหน้ากันมาแทรกแซงและปกครองจีนเป็นเวลาร้อยกว่าปี
แต่เมื่อเปิดดูหน้าเว็บไซต์ FIFA World Ranking ของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ FIFA ที่จับเอาทีมชาติทั่วโลกมาเรียงลำดับตามผลงานในโลกของฟุตบอล กว่าจะไล่สายตาไปเจอคำว่า “China” ก็ปาเข้าไปถึงลำดับที่ 75 ต่อจากประเทศที่ไม่สามารถเทียบอะไรกับจีนได้เลยในทางเศรษฐกิจและการเมืองอย่างมาซิโดเนียเหนือ แอฟริกาใต้ อิรัก มอนเตเนโกร ฯลฯ
ลำดับในโลกของฟุตบอล ไม่น่าจะมีความสำคัญอะไรนัก และไม่น่าจะเป็นประเด็นที่ผู้นำประเทศจะต้องเป็นเดือดเป็นร้อนหรือต้องรับผิดชอบโดยตรง แต่สำหรับประธานาธิบดีสี เรื่องนี้อาจจะเป็นแผลในใจ หรืออย่างน้อย ๆ ก็น่าจะสร้างความหงุดหงิดใจมากพอดู เพราะประธานาธิบสีมีความฝันอีกอย่างหนึ่งที่คนไม่ค่อยพูดถึงกันเท่ากับ “Chinese Dream” ความฝันที่ว่าคือ “Chinese Football Dream” ที่ประธานาธิบดีสี (ซึ่งชอบกีฬาฟุตบอลเป็นการส่วนตัว) ประกาศจุดหมายปลายทางของความฝันดังกล่าวไว้ว่า ทีมฟุตบอลชายของจีนจะต้องบรรลุเป้าหมายยิ่งใหญ่ 3 ประการให้ได้ คือ 1) ผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 2) เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก และ 3) เป็นแชมป์โลก!!!
ความฝันเรื่องฟุตบอลต่างกันพอสมควรกับความฝันแรก เพราะจีนไม่เคยเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่ด้านฟุตบอล และประธานาธิบดีสีไม่ใช่ผู้นำคนแรกที่ต้องการพัฒนาทีมชาติจีนให้ยิ่งใหญ่ แต่ว่าที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีใครทำได้สำเร็จ ใกล้เคียงที่สุดคือการผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายครั้งแรกและครั้งเดียวเมื่อปี 2545 ในสมัยประธานาธิบดีเจียง เจ๋อหมิน (ซึ่งก็ต้องหมายเหตุไว้ด้วยว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพ จึงมีที่ว่างเพิ่มขึ้นสำหรับทีมจากเอเชีย)
จีนขับเคลื่อนการพัฒนาฟุตบอลด้วยวิธีเดียวกันกับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์อื่น นั่นคือการระดมสรรพกำลังจากทุกภาคส่วนของสังคมเพื่อบรรลุเป้าหมายเดียวกัน หน่วยงานของรัฐหลากหลายหน่วยได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบการพัฒนาฟุตบอล ควบคู่กับพลังทางเศรษฐกิจของบริษัทเอกชนที่น้อมนำเอาความฝันของประธานาธิบดีสีไปเป็นภารกิจของบริษัท ภายใต้การนำที่เข้มแข็งและเป็นหนึ่งเดียวของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่จัดตั้งคณะทำงานปฏิรูปฟุตบอลขึ้นมาเป็นกลไกภายในพรรค
จีนมองฟุตบอลใน 3 มิติ และขับเคลื่อนทุกมิติไปพร้อมกัน มิติแรกคือด้านกีฬา ที่จะต้องพัฒนาฟุตบอลเพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศ โดยมี “Chinese Super League” หรือลีกฟุตบอลสูงสุดของจีนเป็นกลไก เริ่มต้นด้วยการสะสางปัญหาการล้มบอลและการล็อกผลบอล ด้วยการตั้งคณะกรรมการปราบปรามขึ้นมาสะสางปัญหาเรื้อรังนี้เป็นการเฉพาะ ต่อยอดด้วยการทุ่มงบประมาณของบริษัทเอกชนของจีน เช่น Shanghai International Port Group (เจ้าของทีม Shanghai SIPG), Evergrande (เจ้าของทีม Guangzhou Evergrande และเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังเผชิญวิกฤตหนี้จนเป็นข่าวดังในปัจจุบัน) ฯลฯ ที่พัฒนาสโมสรฟุตบอลของจีนให้เป็นทีมชั้นนำของเอเชีย รวมทั้งแย่งเอานักฟุตบอลดังมาจากลีกในยุโรปได้ด้วยการให้ค่าเหนื่อยสูงกว่าราคาตลาด ด้วยความคาดหวังว่าการได้ฝึกซ้อมและลงแข่งกับนักบอลระดับโลกอย่างฮัล์ก, ออสการ์, คาร์ลอส เตเบซ ฯลฯ จะช่วยยกระดับนักฟุตบอลจีนได้ ส่วนมิติที่ 2 คือด้านการศึกษา มุ่งเน้นการพัฒนานักกีฬาเยาวชนจีนในสถานศึกษา เพื่อเป็นรากฐานและทรัพยากรในอนาคต และมิติสุดท้ายคืออุตสาหกรรมการกีฬา ที่ต้องการสร้างกำไรจากธุรกิจสโมสรฟุตบอลที่กล่าวไปข้างต้น
ความฝันด้านฟุตบอลของจีนขับเคลื่อนโดยผู้นำที่ตั้งใจจริง มีแผนยุทธศาสตร์ฟุตบอลอย่างรอบด้าน มีงบประมาณมหาศาลจากการเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ มีทรัพยากรบุคคลให้เลือกจากประชากร 1,400 ล้านคน ที่ในจำนวนนั้นมี 237 ล้านคนที่บอกว่าฟุตบอลคือกีฬาตัวเองชื่นชอบที่สุด
สิ่งเดียวที่จีนยังขาดคือความสำเร็จ เป้าหมายเรื่องการเป็นแชมป์โลกเป็นเรื่องเพ้อฝัน ตราบใดที่เป้าหมายแรกคือการผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายยังคงไม่ใกล้เคียงความเป็นจริง จีนตกรอบคัดเลือกอย่างหมดลุ้นทุกครั้งในยุคของประธานาธิบดีสีที่อยู่ในตำแหน่งมาแล้ว 8 ปี และผลงานยังย่ำแย่หมดหวังจนถึงระดับที่ว่าประเทศที่มีคนเป็นพันล้านและชาตินิยมอย่างจีนต้องโอนสัญชาตินักฟุตบอลต่างชาติมาเล่นให้จีน ที่น่าจะพอเป็นไปได้ที่สุดคงจะเป็นการเป็นเจ้าภาพที่ไม่ได้เกี่ยวกับฝีเท้า และจีนน่าจะพอใช้ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจเสนอตัวเป็นเจ้าภาพได้
———————————————————————————-