สำนักข่าว Reuters รายงานเมื่อ 26 ก.ย.64 อ้างทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (International Atomic Energy Agency-IAEA) เปิดเผยรายงานเมื่อวันเดียวกันว่า อิหร่านล้มเหลวต่อการปฏิบัติตามข้อตกลงด้านเทคนิครอบใหม่เกี่ยวกับการตรวจสอบและเข้าถึงที่ตั้งทางนิวเคลียร์ในอิหร่าน ที่อิหร่านกับ IAEA บรรลุและแถลงร่วมกันเมื่อ 12 ก.ย.64 ว่าจะอนุญาตให้ IAEA เข้าตรวจสอบและเปลี่ยนการ์ดหน่วยความจำของกล้องวงจรปิดที่ IAEA ติดตั้งไว้ในที่ตั้งและสถานที่ในอิหร่านที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจกรรมด้านนิวเคลียร์ได้ หลังจากอิหร่านระงับการอนุญาตให้ IAEA เข้าถึงที่ตั้งทางนิวเคลียร์ในอิหร่านตั้งแต่ มิ.ย.64 โดยผู้ตรวจสอบของ IAEA ได้รับอนุญาตให้เข้าไปตรวจสอบและเปลี่ยนการ์ดหน่วยความจำของกล้องวงจรปิดในที่ตั้งด้านนิวเคลียร์ตามข้อตกลงดังกล่าวซึ่งมีกำหนดเปลี่ยนทุก ๆ 3 เดือน ระหว่าง 22-23 ก.ย.64 แล้ว ยกเว้นโรงงานผลิตและประกอบเครื่องหมุนเหวี่ยง (centrifuge) สำหรับเสริมสมรรถนะยูเรเนียมของบริษัท Iran Centrifuge Technology (TESA) ในเมืองคาราจญ์ (Karaj) จังหวัดอัลบอร์ซ (Alborz) ทางตะวันตกเฉียงเหนือห่างจากกรุงเตหะราน ประมาณ 40 กิโลเมตร ที่อิหร่านไม่อนุญาตให้ผู้ตรวจสอบของ IAEA เข้าไป ซึ่ง IAEA เห็นว่าขัดต่อเงื่อนไขของข้อตกลงดังกล่าว
ทั้งนี้ รายงานระบุเพิ่มเติมว่า โรงงานดังกล่าวซึ่งผลิตเครื่อง centrifuge ขั้นสูงเคยตกเป็นเป้าหมายก่อวินาศกรรมเมื่อ 12 มิ.ย.64 ส่งผลให้กล้องวงจรปิด 4 ตัวที่ IAEA ติดตั้งไว้ที่โรงงานดังกล่าวได้รับความเสียหาย 1 ตัว แต่อิหร่านปฏิเสธส่งคืนกล้องที่ได้รับความเสียหายพร้อมการ์ดหน่วยความจำของกล้องให้ IAEA ขณะเดียวกันรายงานยังอ้างนาย Kazem Gharibabadi เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรอิหร่านประจำสหประชาชาติ (United Nations-UN) และองค์การระหว่างประเทศ ประจำเวียนนา ออสเตรีย เปิดเผยว่ากล้องวงจรปิดดังกล่าวเป็นหลักฐานที่อยู่ภายใต้การรักษาความปลอดภัยและการสอบสวนของศาลอิหร่าน และมิได้ถูกระบุในข้อตกลงด้านเทคนิครอบใหม่ระหว่างอิหร่านกับ IAEA แต่อย่างใด