สิงคโปร์
ระบุเมื่อ 3 ม.ค.65 ตรวจพบผู้ติดเชื้อ COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอนเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 17 ของผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งหมด
ระบุเมื่อ 3 ม.ค.65 ตรวจพบผู้ติดเชื้อ COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอนเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 17 ของผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งหมด
ระบุเมื่อ 3 ม.ค.65 จะเริ่มฉีดวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 เข็มกระตุ้นให้ประชาชนทั่วไปใน 12 ม.ค.65 เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอน โดยอินโดนีเซียเริ่มฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้บุคลากรทางสาธารณสุข เมื่อ ก.ค.64
ระบุเมื่อ 2 ม.ค.65 พล.อ. ลอยด์ ออสติน รมว.กห.สหรัฐฯ ติดเชื้อ COVID-19 โดยมีอาการป่วยในระดับปานกลาง และอยู่ระหว่างการกักตัวที่บ้านพัก
ระบุเมื่อ 2 ม.ค.65 เริ่มเข้าสู่การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ระลอกใหม่ หลังตรวจพบผู้ติดเชื้อ COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เฉพาะอย่างยิ่งเมืองการาจี
ระบุเมื่อ 2 ม.ค.65 เริ่มเข้าสู่การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ระลอก 3 ซึ่งเป็นการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่แพร่ระบาดได้รวดเร็ว
สำนักข่าว Taiwan News รายงานเมื่อ 1 ม.ค.65 ว่า ประธานาธิบดีไช่ อิงเหวินของไต้หวันกล่าวปราศรัยในวาระวันขึ้นปีใหม่ โดยให้ความสำคัญกับ 4 เป้าหมายหลักในการบริหารงานปี 2565 ได้แก่ 1) ส่งเสริมสถานะของไต้หวันในระดับโลก 2) รักษาระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ 3) ส่งเสริมระบบประกันสังคม และ 4) ปกป้องอธิปไตยของไต้หวัน นอกจากนี้ ทางการไต้หวันจะส่งเสริมการมีส่วนร่วมกับประชาคมระหว่างประเทศ ผ่านนโยบายต่างๆ เช่น นโยบายมุ่งใต้ใหม่ (New South Bound) การเจรจาระหว่างไต้หวัน-สหรัฐฯ การเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Comprehensive and Progressive Trans-Pacific Partnership–CPTPP) และการกระชับความสัมพันธ์กับสหภาพยุโรป รวมทั้งส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านพลังงานและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การแก้ไขภาวะเงินเฟ้อและราคาอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น และส่งเสริมการเคหะและสวัสดิการสังคมอื่นๆ นอกจากนี้ ประธานาธิบดีไช่ยังระบุข้อห่วงกังวลต่อการที่จีนแทรกแซงการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติฮ่องกง และการจับกุมสื่อมวลชนที่กระทบต่อสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพในการแสดงออกของฮ่องกง และย้ำเตือนจีนว่าการเคลื่อนไหวทางทหารไม่ใช่วิธีการแก้ไขความขัดแย้ง ในช่องแคบไต้หวันและควรส่งเสริมการแสวงหาทางออกร่วมกันอย่างสันติ
สำนักข่าวซินหัวรายงานเมื่อ 1 ม.ค.65 ว่า จีนเปิดสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมานากัว อย่างเป็นทางการอีกครั้ง หลังนิการากัวสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนเมื่อ 10 ธ.ค.64 โดยมีผู้แทนทั้งสองประเทศเข้าร่วมพิธีเปิด โดยจีนระบุว่า ยินดีรับนิการากัวเข้าร่วมโครงการพัฒนาในกรอบความริเริ่มแถบและเส้นทาง (Belt and Road Initiative-BRI) กับทั้งพร้อมทำงานร่วมกับนิการากัวและประเทศในละตินอเมริกาเพื่อสร้างความสัมพันธ์บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน ส่วนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศนิการากัว กล่าวขอบคุณผู้นำ รัฐบาล และประชาชนจีน และว่าการกลับมาสานสัมพันธ์ทางการทูตกับจีน ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนทั้งสองฝ่ายอย่างท่วมท้น ทั้งนี้ จีนเคยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับนิการากัวเมื่อปี 2528 และตัดความสัมพันธ์เมื่อปี 2533 จากการที่นิการากัวเปลี่ยนไปสถาปนาความสัมพันธ์กับไต้หวัน
สำนักข่าววอลสตรีทเจอร์นัลรายงานเมื่อ 31 ธ.ค.64 ว่า สหรัฐฯ อยู่ระหว่างทบทวนนโยบายการค้ากับจีน เนื่องจากพิจารณาว่า จีนไม่สามารถนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มได้ตามจำนวนและในะระยะเวลาที่กำหนดในข้อตกลงการค้าระยะที่ 1 (phase one) ทั้งนี้ นักธุรกิจและผู้ประกอบการในสหรัฐฯ ติดตามนโยบายของรัฐบาลต่อการทำสงครามการค้ากับจีนอย่างใกล้ชิด ขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนมากคาดว่า รัฐบาลสหรัฐฯ จะไม่ขยายสงครามการค้ากับจีน แต่ก็จะไม่ยกเลิกมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าต่อสินค้าจากจีน ขณะที่โฆษกสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (The Office of the United States Trade Representative-USTR) ระบุว่าสหรัฐฯ หารือกับจีนประเด็นความสัมพันธ์ทางการค้าอย่างต่อเนื่อง พร้อมย้ำว่าจีนต้องปฏิบัติตามคำมั่นตามข้อตกลงระยะที่ 1 ด้านสถานเอกอัครราชทูตจีน ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ชี้แจงว่า จีนไม่สามารถนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ได้ตามเป้าหมาย เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ซึ่งทำให้จีนยังคงได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐฯ
เว็บไซต์ทำเนียบประธานาธิบดีสหรัฐฯ เผยแพร่ข่าวสารเมื่อ 1 ม.ค.65 ว่า ประธานาธิบดีโจเซฟ ไบเดน กำหนดหารือทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดียูเครนใน 2 ม.ค.65 เกี่ยวกับแนวทางการลดระดับความตึงเครียดระหว่างยูเครนและรัสเซีย และเพื่อย้ำให้ผู้นำยูเครนเชื่อมั่นว่า สหรัฐฯ พร้อมมีมาตรการลงโทษรัสเซียหากใช้กำลังทหารรุกรานยูเครน และสหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับอธิปไตยของยูเครน ทั้งนี้ การหารือดังกล่าวจะมีขึ้นหลังจากผู้นำสหรัฐฯ หารือกับผู้นำรัสเซียเมื่อ 30 ธ.ค.64 และเห็นพ้องที่จะให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงหารือกันอีกอย่างน้อย 3 ครั้งในห้วง ม.ค.65
สำนักข่าวยอนฮับของเกาหลีใต้ รายงานเมื่อ 1 ม.ค.65 อ้างสำนักข่าว KCNA ของเกาหลีเหนือว่า เกาหลีเหนือสรุปผลการประชุมใหญ่คณะกรรมการกลางพรรคคนงานเกาหลีครั้งที่ 4 ซึ่งเป็นการประชุมต่อเนื่องระหว่าง 27-31 ธ.ค.64 นายคิม จ็อง-อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ กำหนดทิศทางการดำเนินนโยบายในปี 2565 โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาประเทศและความเป็นอยู่ของประชาชน เฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาพื้นที่ทุรกันดาร การพัฒนาเศรษฐกิจและการเกษตรเพื่อฟื้นฟูภาวะขาดแคลนอาหาร รวมถึงการคงมาตรการเข้มงวดในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 นอกจากนี้ ที่ประชุมระบุถึงการทหารและการป้องกันประเทศว่า การพัฒนาอาวุธอย่างต่อเนื่องเป็นความสำเร็จที่สำคัญของปี 2564 และควรส่งเสริมขีดความสามารถด้านการป้องกันประเทศอย่างเร่งด่วน เนื่องจากความมั่นคงในคาบสมุทรเกาหลีและสถานการณ์ต่างประเทศมีความไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม เกาหลีเหนือไม่ระบุถึงอาวุธนิวเคลียร์ ส่วนนโยบายการต่างประเทศของเกาหลีเหนือมีความคลุมเครือ และไม่ระบุถึงสหรัฐฯ หรือเกาหลีใต้โดยตรง ซึ่งกระทรวงรวมชาติของเกาหลีใต้ประเมินว่า เกาหลีเหนืออาจตอบสนองตามสถานการณ์ระหว่างประเทศที่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และเกาหลีเหนือจะประกาศนโยบายต่างประเทศในห้วงสำคัญต่อไป โดยกระทรวงฯ ยังคงผลักดันการรื้อฟื้นการเจรจาระหว่างสองเกาหลีและหารือถึงการสร้างสันติภาพในคาบสมุทรเกาหลีโดยเร็ว