สื่อต่างประเทศรายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาความตึงเครียดบริเวณพรมแดนไทย-กัมพูชา โดยรายงานเมื่อ 30 กรกฎาคม 2568 กรณีไทยจะส่งคืนทหารกัมพูชาจำนวน 18 นาย ให้กับกัมพูชา หลังจากการดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายสากลเสร็จสิ้น ท่าทีดังกล่างของไทยมีขึ้นหลังจากรัฐบาลกัมพูชาเรียกร้องให้ไทยส่งตัวทหารจำนวน 20 นาย ที่ไทยควบคุมตัวไว้หลังจากมีมาตรการหยุดยิง ซึ่งฝ่ายกัมพูชาได้หารือประเด็นนี้กับไทยแล้ว และจะเจรจากับไทยต่อไปเพื่อให้ไทยส่งกลับนายทหารอย่างปลอดภัยและรวดเร็ว
สื่อมวลชนกัมพูชารายงานติดตามความคืบหน้าประเด็นนี้อย่างใกล้ชิด สำหรับสาเหตุที่ไทยควบคุมตัวทหารกัมพูชาไว้ เพราะมีรายงานว่าทั้งหมดเดินทางเข้าพื้นที่ไทยในช่วงเวลา 8 ชั่วโมงหลังจากข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในเวลา 00.00 น.เมื่อ 28 กรกฎาคม 2568 พร้อมกันนี้ ฝ่ายไทยยืนยันว่าทหารทั้ง 18 นายของกัมพูชาอยู่ภายใต้กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและจะได้เดินทางกลับกัมพูชาทันทีหลังจากสถานการณ์บริเวณพรมแดนมีเสถียรภาพ
สื่อต่างประเทศรายงานความเสียหายที่เกิดขึ้นระหว่างการปะทะและความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชาในห้วงที่ผ่านมา ทั้งจำนวนผู้เสียชีวิตของทั้ง 2 ฝ่าย โดยปัจจุบันไทยเปิดเผยว่ามีทหารเสียชีวิต 15 นาย และพลเรือนเสียชีวิต 15 ราย ด้านกัมพูชาเปิดเผยว่ามีทหารเสียชีวิต 5 นาย และพลเรือน 8 ราย ทั้ง 2 ประเทศมีผู้อพยพจากพื้นที่เสี่ยงภัยที่ยังต้องดูแลต่อไปจำนวนมากกว่า 300,000 คน รวมทั้งความพยายามของนานาชาติ โดยเฉพาะมาเลเซียที่ประสานงานให้เกิดการเจรจาและทำข้อตกลงหยุดยิง
สื่อต่างประเทศยังรายงานกรณีไทยระบุว่ากัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิงเป็นครั้งที่ 2 เนื่องจากมีหลักฐานว่ากัมพูชาปฏิบัติการทางทหารต่อพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ ในช่วงเวลากลางคืน พร้อมระบุว่ากัมพูชาทำให้ความเชื่อมั่นระหว่างกันลดลงและทำให้สถานการณ์ในพื้นที่ยังอยู่ในระดับเปราะบาง อย่างไรก็ตาม กัมพูชาปฏิเสธข้อกล่าวหา พร้อมเน้นรายงานว่ากัมพูชามีความคืบหน้าในการเชิญคณะผู้แทนจากต่างประเทศ 13 ประเทศ เพื่อลงพื้นที่จังหวัดพระวิหาร และจุดผ่านแดน ติดกับ จ.อุบลราชธานี
นอกจากนี้ สื่อสังคมออนไลน์กัมพูชามีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ เนื่องจากตั้งแต่ 30 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นมา เริ่มปรากฏกระแสโพสต์ข้อความชื่นชมประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ว่ามีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เกิดสันติภาพระหว่างกัมพูชากับไทย และยกย่องว่าเป็นประธานาธิบดีแห่งสันติภาพ (President of Peace) พร้อมกับมีการรณรงค์ #ThanksTrump #PresidentOfPeace และ #TrumpForPeacePrize คู่กับภาพธงชาติกัมพูชา คาดว่าเพื่อทำให้นานาชาติเห็นว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ สนับสนุนกัมพูชา