![]()

การติดตั้งแผงผลิตพลังงานแสงอาทิตย์จากบนหลังคาที่อยู่ที่อาศัย หรือ Solar Rooftop ซึ่งไทยมีศักยภาพสูงมาก เพราะเป็นประเทศที่มีแสงแดดตลอดทั้งปี แต่ทำไมประชาชนยังมีจำนวนน้อยที่ติดตั้ง…… ปัญหาอุปสรรคหรือปัจจัยใดที่ทำให้ยังไม่ติดตั้ง ทั้งที่รู้ว่าจะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้ในระยะยาว ช่วยลดการใช้ไฟฟ้าภายในประเทศ และช่วยลดการนำเข้าก๊าซธรรมชาติ เพื่อมาผลิตไฟฟ้าได้ด้วย อีกทั้งยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งตอบโจทย์ประเทศไทยในการมุ่งสู่เศรษฐกิจสีเขียว และเติบโตอย่างยั่งยืน
ก่อนที่จะมาตอบคำถามว่าทำไมประชาชนยังมีจำนวนน้อยที่ติดตั้ง อะไรทำให้ตัดสินใจยังไม่ติดตั้ง จะขอนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับประเภทของระบบ Solar Rooftop ก่อนว่า มี 3 ประเภท ได้แก่ 1) On-Grid System เป็นระบบที่นิยมมากที่สุด เหมาะกับบ้านที่ใช้ไฟฟ้ามากตอนกลางวัน หรือต้องการขายไฟฟ้าคืนให้การไฟฟ้า ระบบนี้เชื่อมต่อโดยตรงกับการไฟฟ้า เราสามารถใช้ไฟฟ้าที่ผลิตโดยตรงได้ หากเหลือก็สามารถขายคืนการไฟฟ้า หากไม่พอใช้หรือในเวลากลางคืน ก็ดึงไฟฟ้าจากการไฟฟ้ามาใช้ได้ 2) Off-Grid System เป็นระบบที่ทำงานอิสระ ไม่เชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้าของการไฟฟ้า โดยไฟฟ้าที่ผลิตจากแผงโซลาร์เซลล์จะถูกเก็บไว้ในแบตเตอรี่เพื่อใช้ในเวลากลางคืน หรือในช่วงเวลาที่ไม่มีแดด สามารถติดตั้งได้โดยไม่ต้องขออนุญาตจากการไฟฟ้า เหมาะกับพื้นที่ที่ไฟฟ้าจากการไฟฟ้าเข้าไม่ถึง พื้นที่ห่างไกล และ 3) Hybrid System เป็นระบบที่ผสมระหว่าง On-Grid และ Off-Grid คือ เชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้าของการไฟฟ้า และเก็บสะสมพลังงานไฟฟ้าไว้ในแบตเตอรี่ได้ด้วย
การจะติดตั้ง Solar Rooftop ต้องพิจารณาหลังคาว่ามีโครงสร้างแข็งแรงเพียงพอ เพื่อรองรับน้ำหนักแผงโซลาร์เซลล์ เช่น หลังคาคอนกรีต หลังคา Metal Sheet หรือหลังคากระเบื้องลอนคู่ ทรงหลังคาที่เหมาะติดตั้ง ได้แก่ ทรงจั่ว และทรงปั้นหยา ทิศทางการติดตั้ง ควรหันหน้าแผงโซลาร์เซลล์ไปทางทิศใต้ เพราะจะรับแสงแดดได้เต็มที่ตลอดวัน รวมทั้งต้องพิจารณาปริมาณการใช้ไฟฟ้า หรือบิลค่าไฟฟ้าย้อนหลังประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี ว่าแต่ละเดือนใช้ไฟฟ้าไปกี่หน่วย (kWh) ช่วงไหนใช้มากเป็นพิเศษ เพื่อช่วยให้สามารถติดตั้ง Solar Rooftop ได้เหมาะสมกับความต้องการที่แท้จริง
ทำไมประชาชนยังมีจำนวนน้อยที่ติดตั้ง Solar Rooftop ?
แม้คนไทยเริ่มตื่นตัวกันมากขึ้นกับกระแสผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่รายงานศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจของธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ที่เผยแพร่ผลสำรวจความคิดเห็นเมื่อ 29 สิงหาคม 2568 ระบุว่าประชาชนสนใจติดตั้ง Solar Rooftop สูงถึงร้อยละ 80 แต่มีเพียงร้อยละ 9 เท่านั้นที่ติดตั้งแล้ว เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการติดตั้งสูง กระบวนการขออนุญาตติดตั้งต้องผ่านหลายหน่วยงานของรัฐ เกิดความยุ่งยาก ซับซ้อน และล่าช้า รวมทั้งยังมีความน่าเชื่อถือของผู้ให้บริการ เนื่องจากเป็นเรื่องใหม่ สิทธิประโยชน์หลังการติดตั้ง และความเข้าใจในเทคโนโลยีของผู้บริโภคเอง
ค่าใช้จ่ายการติดตั้งระบบ Solar Rooftop ขนาด 3–10 กิโลวัตต์ (kW) อยู่ที่ประมาณ 170,000–430,000 บาท ซึ่งจะประกอบด้วย 1) แผงโซลาร์เซลล์ ไว้รับพลังงานแสงอาทิตย์และผลิตไฟฟ้ากระแสตรง 2) อินเวอร์เตอร์ ใช้แปลงไฟฟ้ากระแสตรง เป็นกระแสสลับ และ 3) ระบบจ่ายไฟฟ้า ใช้ไฟฟ้าที่ผลิตเองได้เต็มประสิทธิภาพ หรือขายคืนให้การไฟฟ้าหากผลิตเกินความต้องการ และดึงไฟฟ้าเสริมจากการไฟฟ้าได้
รัฐบาลเร่งผลักดันให้ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2568 เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการติดตั้ง Solar Rooftop สำหรับครัวเรือน โดยประชาชนที่ติดตั้งสามารถนำค่าใช้จ่ายในการติดตั้งมาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาทต่อปี มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา-ธันวาคม 2571 หลังจากเมื่อ 29 กรกฎาคม 2568 ได้อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พ.ศ. . และเมื่อ 17 ธันวาคม 2567 ได้มีมติยกเว้นการผลิตไฟฟ้าจาก Solar Rooftop ทุกกำลังการผลิตว่าไม่เข้าข่ายเป็นโรงงานและไม่ต้องขออนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน
นอกจากนี้ รัฐบาลอาจพิจารณาเพิ่มสิทธิประโยชน์หลังติดตั้ง เช่น การขายไฟฟ้าคืนให้การไฟฟ้าในอัตราราคาที่เท่ากับที่ประชาชนจ่ายค่าไฟให้การไฟฟ้า (อัตราค่าไฟ 4 บาทต่อหน่วย ปัจจุบันขายไฟฟ้าคืนให้การไฟฟ้าในราคา 2.20 บาทต่อหน่วย) รวมถึงผู้จะให้บริการติดตั้งต้องเร่งสร้างความน่าเชื่อถือ ทั้งหมดมีส่วนช่วยลดการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศของไทย และการเร่งเพิ่มการใช้พลังงานสะอาด เพื่อความมั่นคงทางพลังงานของไทย
ประชาชนและประเทศจะได้ประโยชน์จากการติดตั้ง Solar Rooftop
ประชาชนที่ติดตั้ง Solar Rooftop แน่นอนว่าจะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าที่มีแนวโน้มจะแพงขึ้นในระยะยาว และยังขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าได้ด้วย รวมทั้งประหยัดค่าไฟได้ประมาณร้อยละ 30 – 60 โดยแผงโซลาร์เซลล์ขนาด 1 กิโลวัตต์ จะช่วยประหยัดค่าไฟได้ประมาณ 500 – 1,000 บาทต่อเดือน และจะสามารถคืนทุนได้ในช่วงระยะเวลา 3 – 15 ปี ขึ้นอยู่กับขนาด ค่าไฟ และการขายไฟส่วนเกิน ยกตัวอย่าง บ้านที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้า 500 หน่วยต่อเดือน ทั้งปีจะเป็น 6,000 หน่วย เมื่อติดตั้ง Solar Rooftop ขนาด 3 กิโลวัตต์ (ราคาประมาณ 170,000 บาท) จะสามารถผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 3,000 หน่วยต่อปี ส่งผลให้ประหยัดค่าไฟได้ประมาณ 1,500 – 3,000 บาทต่อเดือน ใช้เวลาคืนทุนอยู่ที่ประมาณ 5 – 9 ปี อย่างไรก็ตาม ปริมาณไฟฟ้าที่จะประหยัดได้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ทิศทางหลังคา ปริมาณแสงอาทิตย์ในแต่ละพื้นที่ พฤติกรรมการใช้ไฟฟ้า และราคาค่าไฟฟ้า เป็นต้น
การที่ไทยเร่งส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้น มีส่วนช่วยสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ช่วยประชาชนลดค่าไฟฟ้าได้ในระยะยาว เพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนที่เป็นพลังงานสะอาด ลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าในประเทศที่สามารถนำไปสู่การลดการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากต่างประเทศมาผลิตไฟฟ้าในไทย อีกทั้งยังสนับสนุนเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียวที่เป็นนโยบายสำคัญของประเทศ







