ตั้งแต่มีกระแสการซื้อ-ขายเพื่อทำกำไรระยะสั้นกับเหรียญ Dogecoin เมื่อช่วงธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา เพราะมหาเศรษฐีระดับโลกอย่าง Elon Musk ซึ่งเป็น CEO ของบริษัท Tesla ได้ทวีตข้อความเป็นนัยเชิงสนับสนุนการใช้งานเหรียญ Dogecoin ก็ได้ทำให้มูลค่าของเหรียญดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างเป็นเท่าตัว จากราคาเพียง 0.003 ดอลลาร์สหรัฐ หรือไม่ถึง 1 สลึงเมื่อคำนวนด้วยค่าเงินบาทของไทยในเดือนธันวาคม 2020 มาเป็น 0.01 ดอลลาร์สหรัฐ หรือมากกว่า 1 สลึงในช่วงต้นเดือนมกราคม 2021 และขยับขึ้นมาถึง 0.05 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1 บาทในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ก็ยิ่งทำให้สกุลเงินดิจิตัล (cryptocurrency) และเหรียญ Bitcoin กลายมาเป็นที่สนใจของสังคมไทยและต่างประเทศมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด
มีการกล่าวถึง Bitcoin และ Cryptocurrency ในสื่อกระแสหลักมากยิ่งขึ้น รวมถึงช่อง Youtube ที่เกี่ยวกับการวิเคราะห์ราคาเหรียญ และคอร์สสอนการซื้อ-ขายทำกำไรจากเหรียญ Bitcoin ก็เริ่มได้รับความนิยมจากทั้งวัยรุ่น วัยทำงานที่ต่างมีความฝันถึงอิสรภาพทางการเงินจำนวนไม่น้อย จากนั้นราคาของเหรียญ Bitcoin และเหรียญที่มีบทบาทหลักในแวดวง Cryptocurrency ก็มีมูลค่าทางการตลาด และปริมาณการซื้อขายต่อวันเพิ่มมากขึ้น ทำให้มีบริษัทเอกชนจำนวนมากพยายามที่จะเข้ามาตักตวงโอกาสของกระแสดังกล่าวนี้ บริษัทนายหน้าสำหรับทำการซื้อขายเหรียญ Cryptocurrency เริ่มผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ทุกคนล้วนพูดถึง Bitcoin ไม่เว้นแม้แต่พ่อค้าขายปลาเผาก็ประกาศว่าจะรับเงินในรูปแบบของเหรียญ Cryptocurrency
ทว่าเมื่อเข้าสู่ช่วงเดือนพฤษภาคม 2564 ตลาดการซื้อ-ขายเริ่มส่งให้เห็นสัญญาณขาลง เพราะแรงซื้อมีปริมาณไม่มากพอ บวกกับการที่มหาเศรษฐีอย่าง Elon Musk ได้ออกมาทวีตข้อความปลุกปั่นให้เหรียญ Cryptocurrency บางเหรียญถูกลดทอนความน่าเชื่อถือ (หากจะกล่าวให้ถูกต้องน่าจะเรียกว่า หมดความน่าสนใจมากกว่า) ทำให้เหรียญที่ถูก Elon Musk กล่าวถึงนั้นมีมูลค่าลดลงในปริมาณมากกว่า 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 640,000 บาท จากเดิมที่เคยมีราคาเต็มอยู่ที่ 63,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 2,000,000 บาทในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา เหลือเพียง 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1,280,000 บาท ณ วันที่ 19 พฤษภาคม 2564 หลายคนจึงเริ่มเกิดข้อกังขาแล้วว่า Bitcoin และ Cryptocurrency อาจจะมาถึงจุดจบแล้วในตอนนี้ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะอัตราส่วนส่วนแบ่งทางการตลาด Cryptocurrency ของ Bitcoin จากดัชนีความเป็นเจ้าตลาดของ Bitcoin (Dominance Index Chart) ถูกปรับลดลงไปเหลือ 41% แล้ว ตกลงไปพร้อมกับมูลค่าของเหรียญจนทำให้เหรียญอื่นๆบนกระดานต้องถูกลากลงไปด้วย จากภาวะแตกตื่นในตลาด (Panic sell)
ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมานี้มีนักลงทุนหน้าใหม่หลั่งไหลเข้ามาในตลาดเป็นจำนวนมากตามการปลุกปั่นชี้นำของ Elon Musk และมหาเศรษฐีระดับโลกรายอื่นๆที่ออกมาแสดงความคิดในเชิงเชิญชวนให้คนหันมาเริ่มลงทุนใน Bitcoin และ Cryptocurrency อย่างเชื่อมั่น จนเกิดเป็นสำนึกที่ว่า ‘Cryptocurrency คือ อนาคตแห่งโลกการเงิน’ นักลงทุนหน้าใหม่จำนวนมากจึงพากันหลงในคำโฆษณา และรีบกระโดดเข้ามาในตลาดทั้งๆที่ยังไม่ได้ศึกษาข้อมูลและธรรมชาติของ Cryptocurrency ดังนั้นจึงไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่แปลกใหม่หรือน่าตกใจใดๆ หากข่าวการยกเลิกรับเงินด้วยเหรียญ Bitcoin ของบริษัท Tesla จะสร้างความแตกตื่นในตลาดจนนักลงทุนหน้าใหม่จำนวนมากรีบกระโดดหนี แล้วเทขายเหรียญจำนวนมากในมือเพราะความหวาดกลัวว่ามูลค่าของเหรียญทั้งหมดจะลดลงไปจนไม่สามารถย้อนกลับมาได้อีก
สิ่งที่นักลงทุนหน้าใหม่ที่ยังไม่เข้าใจธรรมชาติของ Cryptocurrency หลายๆคน ไม่ได้สังเกตหรือสำรวจตั้งแต่ก่อนเข้ามาในตลาดก็คือ Cryptocurrency นั้นเป็นสกุลเงินที่มีความผันผวนสูง ในวันหนึ่งๆกราฟแท่งเทียนสามารถขยับได้มากกว่า 10-15% หรือ 20-25% ทำให้ธรรมชาติของตัวสกุลเงินลักษณะนี้แตกต่างจากการซื้อ-ขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ทั่วๆไป การที่เหรียญ Bitcoin ราคาต่ำลงในช่วงนี้ ไม่ใช่ดัชนีหรือตัวชี้วัดใดในการจะอนุมานได้ว่ามันคือ จุดจบของ Bitcoin ตัวเหรียญ Bitcoin ก็คล้ายกับสกุลเงินหนึ่งๆในกระดานการซื้อ-ขายเงินตรา (Forex) มีมูลค่าเพิ่มขึ้นก็มีสิทธิที่จะมีมูลค่าลดลงได้ตามความเปลี่ยนแปลงของตลาดขณะนั้น ถ้าหากสังเกตให้ดีจะพบว่าต่อให้มูลค่าของเหรียญ Bitcoin หรือเหรียญ Cryptocurrency อื่นในกระดานขณะนี้ แม้จะปรับตัวลดลงไปมากกว่า 20% ในรอบสัปดาห์ แต่มูลค่าของตัวเหรียญก็ยังไม่ได้ลดลงไปถึงจุดเดิมของปี 2563
แปลว่าหากนักลงทุนคนใดอยู่ในตลาดมาตั้งแต่ก่อนปี 2564 การกลับตัวของราคาครั้งนี้ก็ไม่ได้ทำให้นักลงทุนคนใดขาดทุนอย่างจริงๆจังๆสักคนเดียว เป็นเพียงแค่การย่อตัวของราคาบนกระดานเท่านั้น และเหรียญ Cryptocurrency บนโลกของการซื้อ-ขายก็มีมากกว่า 100 ชนิดให้ได้เลือก ถ้าได้เลื่อนสำรวจดูก็จะเห็นว่าไม่ได้มีทุกเหรียญที่อยู่ในช่วงขาลง แต่ยังมีเหรียญจำนวนมากที่มีมูลค่าเติบโตสวนกระแสกับมูลค่าที่ลดลงของเหรียญ Bitcoin บางเหรียญถึงขั้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นไปมากกว่า 20% อีกทั้งหากนำดัชนีเรื่องความเป็นเจ้าตลาดของ Bitcoin (BTC.D Index Chart) ที่ถูกกล่าวถึงในตอนต้นของบทความมาพิจารณาร่วมกับแบบแผนของราคาเหรียญ Bitcoin ในปัจจุบัน จะพบกับข้อสังเกตข้อหนึ่งเพิ่มมาว่าดัชนีตลาดทางเลือก หรือ Altcoin Season Index นั้นอยู่ที่ 98% แปลว่าตลาดในปัจจุบันกำลังใกล้เข้าสู่ฤดูการเติบโตของเหรียญทางเลือก (Altcoin season) แล้ว
ดังนั้นการจะลงทุนในตลาด Cryptocurrency จึงต้องพิจารณาและชั่งน้ำหนักถึงโอกาสที่ปัจจัยในแต่ละตัวจะเข้ามามีผลต่อราคาเหรียญให้ดี จุดนี้ถือเป็นสิ่งที่นักลงทุนทุกคนจำเป็นต้องรู้จักประเมินทั้งในระยะสั้น กลาง และยาว อีกอย่างหนึ่งคือ ด้วยความที่ธรรมชาติของเหรียญและสกุลเงินเหล่านี้มีความผันผวนสูง เพราะเป็นนวัตกรรมที่ไม่สามารถมีใคร หรือ องค์กรใดมาแทรกแซงได้ มูลค่าจึงไม่แน่นอนเสมอไป แต่ถ้าหากมองในกราฟระยะยาวก็จะเข้าใจได้ว่าแม้ในระยะสั้น/กลางตัวสกุลเงินจะมีผันผวน และถูกปลุกปั่นจากปัจจัยภายนอกตลาด ทั้งข่าวของ Elon Musk และรัฐบาลจีนประกาศคว่ำบาตรเหรียญ Cryptocurrency ฯลฯ ได้ แต่ในระยะยาวกราฟยังคงเป็นตัวชี้วัดได้เสมอว่าเหรียญ Cryptocurrency และ Bitcoin ยังคงเติบโตอยู่ในลักษณะขาขึ้นอยู่ไม่ต่างจากเดิม คำว่าจุดจบของ Cryptocurrency ที่ได้ยินกันในช่วงสัปดาห์นี้จึงไม่น่าเกิดขึ้น และประเด็นนี้คงเป็นไปได้อย่างมากแค่มายาคติเท่านั้น