สหรัฐฯ จะใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าตรวจสอบผู้เดินทางที่ไม่ใช่พลเมือง
สหรัฐอเมริกาจะเริ่มใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้า (facial recognition) สอดส่องผู้เดินทางเข้า-ออกประเทศที่ไม่ใช่พลเมืองสหรัฐฯ ตั้งแต่ 26 ธ.ค.68 เพื่อปราบปรามการพำนักอาศัยเกินกำหนดวีซ่า
สหรัฐอเมริกาจะเริ่มใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้า (facial recognition) สอดส่องผู้เดินทางเข้า-ออกประเทศที่ไม่ใช่พลเมืองสหรัฐฯ ตั้งแต่ 26 ธ.ค.68 เพื่อปราบปรามการพำนักอาศัยเกินกำหนดวีซ่า
มาเลเซียแสดงบทบาทในฐานะประธานอาเซียนในปี 2568 ด้วยการเร่งหารือกับประเทศสมาชิก เพื่อหาทางออกร่วมกันในการลดผลกระทบจากกรณีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศ Liberation Day เมื่อ 2 เมษายน 2568 ให้กับชาวอเมริกัน ด้วยการขึ้นภาษีตอบโต้ (reciprocal tariffs) สินค้านำเข้าประเทศคู่ค้า 185 ประเทศ ที่ส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ ซึ่งประเทศสมาชิกอาเซียนมีประเทศที่ถูกเก็บภาษีสูงที่สุดที่สหรัฐฯ กำหนด คือกัมพูชาที่ร้อยละ 49 และต่ำสุดคือสิงคโปร์ที่ร้อยละ 10 นอกจากนี้ ประเทศสมาชิกอาเซียนยังส่งสินค้าออกไปยังตลาดสหรัฐฯ เป็นหลักเลยทีเดียว มาเลเซียโดยดาโตะ เชอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีได้โพสต์เฟซบุ๊คเมื่อ 5 เมษายน 2568 ว่า ได้โทรศัพท์หารือกับผู้นำ สมาชิกอีก 5 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน และสิงคโปร์ เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นให้ได้ข้อมติร่วมกันในหลักการไปเจรจาทางการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งรวมทั้งใช้กรอบ ASEAN-US Dialogue ซึ่งอาเซียนก็พร้อมจะเปิดกว้าง และยืดหยุ่นในเรื่องห่วงโซ่การผลิต และเมื่อ 7 เมษายน 2568…
โลกเราในยุคเชื่อมต่อกันได้โดยไม่ติดขัด หรือไร้รอยต่อ (seamless) สถานที่ใดเป็นการศูนย์กลางการเงินโลกก็จะควบคุมทิศทางการเงิน และเศรษฐกิจของโลกได้ รวมทั้งจะเป็นแหล่งดึงดูดการลงทุนของโลกได้ดีเช่นกัน ซึ่งในความเป็นจริงในปัจจุบันก็ดูเหมือนจะหนีไม่พ้นว่าศูนย์กลางการเงินโลกส่วนใหญ่จะอยู่ที่สหรัฐฯ ซึ่งเป็นมหาอำนาจในทุกด้านอันดับ 1 ของโลก แต่ฮ่องกง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจีนและเป็นประเทศในเอเชีย-แปซิฟิก
งานข่าวกรองเป็นงานที่สำคัญอย่างมากต่อภารกิจด้านความมั่นคง แต่ในการบริหารประเทศสมัยแรกของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจกล่าวได้ว่า ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับงานข่าวกรองมากนัก จึงต้องจับตามองต่อไปว่าในสมัยรัฐบาลทรัมป์ 2.0 งานข่าวกรองจะมีบทบาท และทิศทางอย่างไรต่อภารกิจด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ ที่ต้องการคุมทิศทางโลกมาทุกยุคทุกสมัย เริ่มรัฐบาลทรัมป์ 2.0 ประธานาธิบดีทรัมป์มุ่งเน้นปฏิรูปการทำงานของหน่วยงานภายในประชาคมข่าวกรองสหรัฐฯ จากเดิมที่ในสมัยรัฐบาลอดีตประธานาธิบดีโจเซฟ ไบเดน เน้นใช้การทูตข่าวกรอง เป็นการทำงานเชิงรุกและแข็งกร้าวมากขึ้น เฉพาะอย่างยิ่ง สำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (Central Intelligence Agency-CIA) เพื่อป้องปรามภัยคุกคามจากจีน อิหร่าน เกาหลีเหนือ สงครามรัสเซีย-ยูเครน ความมั่นคงบริเวณชายแดน และพร้อมรับมือกับความเสี่ยงจากเทคโนโลยีอุบัติใหม่ เป็นต้น การเปลีี่ยนแปลงนโยบายสำคัญ ๆ ที่รัฐบาลทรัมป์ 2.0 จะดำเนินการ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายข้างต้น เช่น การปรับขนาดและโครงสร้างองค์กร เช่น การควบรวมสำนักต่าง ๆ ที่มีภารกิจคล้ายกันและกำหนดภารกิจให้ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี ที่มีถึง 5 สำนัก การเสนอเงินชดเชยให้ จนท.ลาออกก่อนอายุครบเกษียณ รวมทั้งชักชวน และคัดเลือกบุคลากรรุ่นใหม่ที่สามารถทำงานได้หลากหลายและรอบด้าน ทั้งปฏิบัติการและวิเคราะห์ข่าวกรอง การเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงาน ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติการลับอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะต่อจีน รวมทั้งเป้าหมายใหม่ตามข้อสั่งการของประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพื่อรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากทั่วโลก…
นักวิจัยจากสถาบันทัศนศาสตร์ฉางชุนกลศาสตร์วิจิตรและฟิสิกส์ (Changchun Institute of Optics, Fine Mechanics, and Physics – CIOMP) ของจีนได้เผยแพร่รายงานการพัฒนาเรือเหาะไร้คนขับรูป (โดรน)
อัยการสูงสุดของรัฐเท็กซัส Ken Paxton ได้ยื่นฟ้องบริษัทประกันรถยนต์ Allstate และบริษัทข้อมูล Arity ในข้อหา เก็บรวบรวม ใช้ และขายข้อมูลการขับขี่ของชาวอเมริกันกว่า 45 ล้านคนอย่างผิดกฎหมาย
นักวิจัยด้านภัยคุกคามทางไซเบอร์ของบริษัท Symantec ตรวจพบการโจมตีของแฮ็กเกอร์จีนต่อองค์กรในสหรัฐฯ ระหว่าง เม.ย. -ส.ค.67 โดยเป้าหมายของแฮ็กเกอร์มุ่งเน้นไปที่การรวบรวมข่าวกรอง และกำหนดเป้าหมายไปที่บริการการรับส่งอีเมล
นาย Elon Musk ซึ่งเป็นเจ้าของแพลตฟอร์ม X (เดิมชื่อ Twitter) ได้วิจารณ์กฎหมายที่เสนอโดยรัฐบาลออสเตรเลีย ที่ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี ใช้สื่อสังคมออนไลน์
เว็บไซต์ bleepingcomputer รายงานเมื่อ 14 ก.ย.67 ว่า สำนักงานสอบสวนกลาง (FBI) และหน่วยงานรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ และโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐอเมริกา (CISA) แจ้งเตือนประชาชนว่า มีผู้ไม่ประสงค์ดีพยายามสร้างข้อมูลเท็จโดยอ้าง ข้อมูลการลงทะเบียนผู้ลงคะแนนเสียงของสหรัฐฯ ถูกโจมตีทางไซเบอร์ แต่แท้จริงแล้ว ผู้ไม่ประสงค์ดีกำลังเผยแพร่ข้อมูลเท็จเพื่อบิดเบือนความคิดเห็นของประชาชนและทำลายความเชื่อมั่นในสถาบันประชาธิปไตยของสหรัฐฯ” กลยุทธ์ที่ใช้กันทั่วไปที่สุดอย่างหนึ่งคือการนำข้อมูลการลงทะเบียนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่ได้มาไปใช้เป็นหลักฐานเพื่อสนับสนุนการกล่าวอ้างเท็จว่าปฏิบัติการทางไซเบอร์ได้เข้าไปบุกรุกโครงสร้างพื้นฐานการเลือกตั้ง ประกาศบริการสาธารณะ A public service announcement (PSA) อธิบายเพิ่มเติมว่า ข้อมูลการลงทะเบียนผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงเปิดเผยต่อสาธารณะ สามารถรับได้จากแหล่งข้อมูลอย่างเป็นทางการ ข้อมูลดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อกระบวนการลงคะแนนเสียงหรือผลการเลือกตั้ง FBI และ CISA ไม่พบข้อมูลที่บ่งชี้ว่าการโจมตีทางไซเบอร์ต่อโครงสร้างพื้นฐานการเลือกตั้งของสหรัฐฯ ขัดขวางไม่ให้มีการเลือกตั้ง เปลี่ยนแปลงข้อมูลการลงทะเบียนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ทำลายความสมบูรณ์ของบัตรลงคะแนนเสียงที่ลงคะแนนเสียง หรือขัดขวางความสามารถในการนับคะแนนเสียงในประกาศบริการสาธารณะ ก่อนหน้านี้ CISA และ FBI พบผู้ไม่ประสงค์ดี โจมตีแบบปฏิเสธการให้บริการแบบกระจาย (DDoS) แม้ว่าการโจมตีดังกล่าวจะขัดขวางการใช้งานบริการบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งชั่วคราว เช่น การรายงานการลงคะแนนเสียงและเครื่องมือค้นหาผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง แต่กระบวนการลงคะแนนเสียงนั้นไม่ได้รับผลกระทบได้ และไม่มีรายงานความเสียหายอื่นๆ ข้อเสนอแนะดังต่อไปนี้: อย่าหลงเชื่อข่าวปลอมโดยไม่มีหลักฐาน เพราะอาจทำให้เกิดอิทธิพลต่อความคิดเห็นสาธารณะ หรือทำลายความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย ควรระมัดระวังในการโพสต์บนโซเชียลมีเดีย อีเมล โทรศัพท์ หรือข้อความที่เกี่ยวกับการโจมตีทางไซเบอร์ต่อการเลือกตั้งสหรัฐฯ…
จากรายงานของสำนักงานสอบสวนกลาง (FBI) ระบุว่าปี 2566 เป็นปีที่พบการฉ้อโกงสกุลเงินดิจิทัลเป็นสถิติสูงสุดตั้งแต่จัดทำรายงานมา โดยมีมูลค่าความเสียหาย 5.6 พันล้านดอลลาร์ โดยอ้างอิงจากรายงานเกือบ 70,000 ฉบับ ผ่านศูนย์ร้องเรียนอาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ต (IC3)