เวียดนาม
ระบุเมื่อ 10 พ.ย.64 สำรวจพบบริษัทท่องเที่ยวร้อยละ 96 ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 และบริษัทท่องเที่ยวร้อยละ 85 มีผลประกอบการลดลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง อีกทั้งบริษัทท่องเที่ยวร้อยละ 54 ไม่แน่ใจระยะเวลาสิ้นสุดของวิกฤต COVID-19
ระบุเมื่อ 10 พ.ย.64 สำรวจพบบริษัทท่องเที่ยวร้อยละ 96 ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 และบริษัทท่องเที่ยวร้อยละ 85 มีผลประกอบการลดลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง อีกทั้งบริษัทท่องเที่ยวร้อยละ 54 ไม่แน่ใจระยะเวลาสิ้นสุดของวิกฤต COVID-19
ระบุเมื่อ 10 พ.ย.64 จะเปิดช่องทางการเดินทางพิเศษประเภท Vaccinated Travel Lane (VTL) กับอินโดนีเซีย สำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 ครบโดส โดยคาดว่า จะเปิดการเดินทางเส้นทางกรุงกัวลาลัมเปอร์-กรุงจาการ์ตา และกรุงกัวลาลัมเปอร์-เกาะบาหลี เป็น 2 เส้นทางแรก แต่ยังไม่ได้ระบุวันที่แน่ชัด
ระบุเมื่อ 10 พ.ย.64 อาจพิจารณาเปิดพรมแดนหากประชาชนฉีดวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 ครบโดสอย่างน้อยร้อยละ 60 ภายใน 31 ธ.ค.64 เนื่องจากหลายประเทศเริ่มเปิดพรมแดนแล้ว และมีแรงงานต่างชาติจะเดินทางกลับมาทำงานในไต้หวัน รวมทั้งชาวไต้หวันที่ต้องการกลับมาฉลองเทศกาลตรุษจีน
ระบุเมื่อ 10 พ.ย.64 จะผ่อนปรนมาตรการควบคุมโรค COVID-19 ใน 19 พ.ย.64 อาทิ อนุญาตให้ร้านอาหาร โรงภาพยนตร์ ร้านเสริมสวย ตลาด ร้านค้า และสนามเด็กเล่นในร่ม กลับมาเปิดดำเนินการได้ แต่จำกัดจำนวนผู้ใช้บริการที่ร้อยละ 50 และอนุญาตให้ผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสกลับไปทำงานและรับประทานอาหารในร้านอาหารได้
สำนักข่าวJapan Times และ NHK รายงานเมื่อ 10 พ.ย.64 ว่านายคิชิดะ ฟูมิโอะนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้รับการเลือกตั้งจากรัฐสภาญี่ปุ่นเป็น นรม.อีกสมัย หลังพรรคเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democratic Party-LDP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลญี่ปุ่นชนะการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ 31 ต.ค.64 โดยนายกรัฐมนตรีคิชิดะเตรียมประกาศรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่และเข้าเฝ้าสมเด็จพระจักรพรรดินารุฮิโตะแห่งญี่ปุ่นภายในวันเดียวกัน นอกจากนี้ ยังมีแผนประกาศมาตรการรับมือการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 เพิ่มเติมใน 12 พ.ย.64 และมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากวิกฤต COVID-19 ใน 19 พ.ย.64 เช่น การแจกเงินจำนวน 100,000 เยนหรือราว 29,000 บาทแก่เด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี
หนังสือพิมพ์ซิดนีย์ มอร์นิ่ง เฮอรัลด์ รายงานเมื่อ 10 พ.ย.64 อ้างคำสัมภาษณ์ของนาย Damien O’Connor รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้านิวซีแลนด์ ว่า นิวซีแลนด์เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายยื่นขอเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Comprehensive and Progressive Trans-Pacific Partnership–CPTPP) รวมถึงจีนและไต้หวัน ซึ่งนิวซีแลนด์จะไม่ใช้อคติตัดสินการยื่นขอเข้าร่วม CPTPP ของจีน นอกจากนี้ นาย O’Connor ตอบคำถามในประเด็นผลกระทบจากการบังคับใช้แรงงานในเขตการปกครองตนเองซินเจียงของจีนต่อการพิจารณารับจีนเข้าร่วมความตกลงดังกล่าวว่า จะยังไม่ตัดสินจีนถึงการเปลี่ยนแปลงหรือการดำเนินการเพื่อให้ตรงตามมาตรฐาน รวมถึงยังไม่ได้หารือกับออสเตรเลียเพิ่มเติมในกรณีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับมาตรการบีบบังคับทางเศรษฐกิจจากจีน ทั้งนี้ นิวซีแลนด์เป็นเจ้าภาพการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) รับผิดชอบประเด็นการหารือนอกรอบเกี่ยวกับการเข้าร่วม CPTPP ของจีนและไต้หวัน
เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เมื่อ 9 พ.ย 64 เผยแพร่ท่าทีของนายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ และนางแคทเทอรีน ไท ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ระหว่างเข้าร่วมการประชุมกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชีย-แปซิฟิก หรือเอเปค ระดับรัฐมนตรีแบบออนไลน์เมื่อ 8-9 พ.ย.64 ที่นิวซีแลนด์เป็นเจ้าภาพ โดยนายบลิงเคนย้ำว่า สหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับเอเปคซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการผลักดันนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ โดยเห็นว่าเอเปคสนับสนุนเป้าหมายของสหรัฐฯ 4 ด้าน ได้แก่ 1) การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลให้เปิดกว้าง 2) การส่งเสริมบทบาทของสตรี 3) การเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานของสหรัฐฯ ให้แข็งแกร่ง และ 4) การสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน พร้อมกันนี้ สหรัฐฯ จะเพิ่มความร่วมมือกับเอเปคเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาวอเมริกันและหุ้นส่วนต่อไป
กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เผยแพร่ผลการหารือระหว่างสหรัฐฯ กับเวียดนามประเด็นสิทธิมนุษยชนในกรอบ Human Rights Dialogue ที่วอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อ 9 พ.ย.64 โดยนาง Lisa Peterson รักษาการผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ฝ่ายกิจการสิทธิมนุษยชน แรงงานและประชาธิปไตย เป็นหัวหน้าคณะ ฝ่ายสหรัฐฯ ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องจะร่วมมือส่งเสริมเสรีภาพในการแสดงออก สิทธิในการนับถือศาสนา สิทธิแรงงาน ความเท่าเทียมระหว่างเพศ รวมทั้งสิทธิและความเสมอภาคของชนกลุ่มน้อย นอกจากนี้ สหรัฐฯ กับเวียดนามจะเพิ่มความร่วมมือประเด็นดังกล่าวผ่านกรอบพหุภาคีมากขึ้น และสหรัฐฯ ย้ำว่าให้ความสำคัญกับการใช้ประเด็นสิทธิมนุษยชนดำเนินนโยบายต่างประเทศ รวมทั้งความร่วมมือกับเวียดนาม
นายกรัฐมนตรี Mateusz Morawiecki ของโปแลนด์ กล่าวหาเมื่อ 9 พ.ย.64 ว่า ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย อยู่เบื้องหลังวิกฤติผู้ลี้ภัยบริเวณชายแดนโปแลนด์-เบลารุส เนื่องจากประธานาธิบดี Alexander Lukashenko ของเบลารุส เป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับประธานาธิบดีปูติน โดยเบลารุสและรัสเซียพยายามใช้ประเด็นผู้ลี้ภัยเป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อลดทอนเสถียรภาพของสหภาพยุโรป (European Union-EU) และสร้างความปั่นป่วนในยุโรป ถือเป็นการทำสงครามรูปแบบใหม่ที่ใช้มนุษย์เป็นเครื่องกำบัง ขณะเดียวกันสำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานอ้างแหล่งข่าวภายใน EU ว่า EU เตรียมออกมาตรการคว่ำบาตรตัวบุคคลและหน่วยงานของเบลารุส อย่างน้อย 30 ราย อาทิรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเบลารุส สายการบิน Belavia เพื่อตอบโต้กรณีที่เบลารุสใช้ปัญหาผู้ลี้ภัยเป็นเครื่องมือทางการเมือง ทั้งนี้ ท่าทีดังกล่าวมีขึ้นหลังมีรายงานว่า ผู้ลี้ภัยกว่า 2,000 คน ติดอยู่บริเวณชายแดนโปแลนด์-เบลารุส ในสภาพอากาศหนาวเย็น ต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส ขาดแคลนอาหารและสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีพ
สำนักข่าวยอนฮับของเกาหลีใต้ รายงานเมื่อ 10 พ.ย.64 ว่า เกาหลีใต้สำรองสารละลายยูเรีย (Urea Solution) สำหรับใช้ในยานพาหนะดีเซลเพียงพอสำหรับ 3 เดือน ภายหลังเกาหลีใต้ขาดแคลนสารดังกล่าวอย่างรุนแรง ซึ่งจะกระทบต่อภาคการขนส่งที่ใช้รถบรรทุกและรถบัส โดยทางการเกาหลีใต้จะนำเข้ายูเรีย หรือวัตถุดิบตั้งต้นจากจีนประมาณ 18,700 ตัน และเวียดนามประมาณ 200 ตัน รวมถึงนำเข้าสารละลายยูเรียจากออสเตรเลียประมาณ 27,000 ลิตร พร้อมกับรวบรวมจากปริมาณสำรองของกองทัพ และการยึดของกลางจากการจับกุมขบวนการกักตุนสารดังกล่าวปริมาณ 15.61 ล้านลิตร หลังราคาสูงขึ้น ทางการเกาหลีใต้เตรียมนำสารละลายยูเรียปริมาณ 200,000 ตัน จากแหล่งสำรองของกองทัพเพื่อให้บริการที่ท่าเรือสำคัญ 5 แห่ง ทั่วประเทศใน 11 พ.ย.64 สำหรับใช้ในรถบรรทุกสินค้าเป็นสำคัญ รวมถึงจะปล่อยสารละลายยูเรียปริมาณ 5.3 ล้านลิตร จากแหล่งสำรองของเกาหลีใต้เข้าสู่ตลาดใน 12 พ.ย.64 เพื่อบรรเทาสถานการณ์ ทั้งนี้ เกาหลีใต้พึ่งพาการนำเข้ายูเรียจากจีนเป็นส่วนใหญ่ โดยตั้งแต่ ม.ค.-ก.ย.64 เกาหลีใต้นำเข้ายูเรียจากจีนประมาณร้อยละ 97.6 มากกว่าปี 2563 ที่ร้อยละ 88…