บนถนนที่วิ่งตรงสู่แม่น้ำโขง รูปปั้นพญาศรีสัตนาคราชปรากฏให้เห็นตั้งแต่ไกล และเมื่อฝ่าแผงจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลและบรรดาผู้มีจิตศรัทธาที่กำลังกราบไว้และถ่ายรูป เข้าไปยืนที่ลานริมแม่น้ำโขงกลางเมืองนครพนม ก็จะเห็นชัดเจนว่าพญานาคพ่นน้ำเป็นสายไหลลงแม่น้ำโขง ในลักษณะเดียวกับที่เมอร์ไลออนพ่นน้ำลงอ่าวมารีนาที่สิงคโปร์ “พญานาค” เป็นความศรัทธาแต่โบราณที่ชาวอีสานรับเอาตำนานพญานาคของพุทธและพราหมณ์มาเป็นความเชื่อท้องถิ่น ความเชื่อเรื่องพญานาค ก่อให้เกิดเป็นอำนาจของพญานาค ที่มนุษย์แอบอิงเอาอำนาจนั้นไปใช้กำหนดพฤติกรรมของคนในสังคมให้สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ทางสังคมที่พึงประสงค์ งานวิจัยเรื่อง “พญานาค: จากอุดมการณ์ที่เมืองคำชะโนด สู่กระบวนการทำให้เป็นสินค้า” ของพลธรรม์ จันทร์คำ จัดแบ่งประวัติศาสตร์อีสานสมัยใหม่ออกเป็น 3 ยุค ยุคแรกคือยุคเฮ็ดอยู่เฮ็ดกิน ช่วงปี 2472-2519 ที่วิถีชีวิตของชาวอีสานยังผูกพันพึ่งพาธรรมชาติ “ความอุดมสมบูรณ์” จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการมีชีวิตอยู่รอด อำนาจของพญานาคจึงเป็นเรื่องของความลึกลับ ความน่าเกรงขาม จากการที่พญานาคสามารถอำนวยความอุดมสมบูรณ์ และให้บทลงโทษแก่บุคคลที่ไม่ประพฤติตนตามกฎเกณฑ์ของสังคม แต่เมื่อสังคมอีสานสมัยใหม่เข้าสู่ยุคที่ 2 คือยุคเฮ็ดอยู่เฮ็ดขาย ช่วงปี 2520-2536 โครงสร้างสังคมของอีสานเริ่มเปลี่ยนไปจากการเข้ามาของแนวทางการพัฒนาแบบทุนนิยม ที่รัฐบาลต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ด้วยการพยายามสร้างความเจริญและการพัฒนาทางเศรษฐกิจให้กับอีสาน เช่น การพัฒนาถนนหนทาง และส่งเสริมการปลูกพืชพาณิชย์ การเข้ามาของคนต่างถิ่น เมื่อผสมเข้ากับความเชื่อดั้งเดิมของคนในพื้นที่ ทำให้บทบาทของพญานาคเริ่มเพิ่มจากการเป็นผู้ให้คุณให้โทษที่น่าเกรงขาม เป็นผู้อำนวยโชคลาภให้กับผู้บนบาน ที่เป็นคนที่เข้ามาตั้งรกรากในพื้นที่เพื่อทำมาหากิน คำชะโนดเป็นเกาะเล็ก ๆ มีสะพานรูปพญานาคที่เชื่อว่าเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกมนุษย์และโลกบาดาลที่อาศัยของพญานาค การจะข้ามสะพานแห่งนี้ต้องถอดรองเท้าและเดินเท้าเปล่า เข้าไปเหยียบดินเย็นและอาบเอาบรรยากาศเงียบสงบบนเกาะ แต่ก่อนจะข้ามไปเจอความสงบบนเกาะนั้น บนถนนที่วิ่งตรงสู่เกาะคำชะโนด จ.อุดรธานี สองข้างทางเรียงรายด้วยพานบายศรีพญานาค ที่ชาวบ้านตั้งแผงขายยาวตลอดถนนเพื่อบริการผู้มีจิตศรัทธาสำหรับนำไปถวายพญานาคราชเพื่อแก้บน…