สื่อมวลชนต่างประเทศรายงานสถานการณ์ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา หลังจากมีการปะทะกันเมื่อ 24-28 กรกฎาคม 2568 จนทำให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บทั้ง 2 ฝ่าย รวมทั้งมีประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณพรมแดนต้องอพยพออกจากพื้นที่และรอความช่วยเหลือในค่ายพักพิงชั่วคราว ปัจจุบันไทยและกัมพูชาเน้นย้ำว่าปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง และนำคณะผู้แทนจากต่างประเทศเข้าสังเกตการณ์พื้นที่ขัดแย้งและพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวเพื่อให้เข้าใจเหตุการณ์
อย่างไรก็ดี มีข้อสังเกตว่า สื่อต่างประเทศให้ความสนใจรายงานในเชิงวิเคราะห์มากขึ้น โดย สนข.The Economist เมื่อ 31 กรกฎาคม 2568 นำเสนอมุมมองต่อสาเหตุที่ไทยและกัมพูชามีความขัดแย้งกันรุนแรงในครั้งนี้ว่า พื้นที่บริเวณพรมแดนดังกล่าวมีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ชาตินิยม รวมทั้งการจัดทำแผนที่ของทั้ง 2 ฝ่าย และเชื่อมโยงกับสถานการณ์การเมืองในประเทศ
ด้าน สนข.ABC News รายงานว่าสถานการณ์ในพื้นที่ลดระดับความรุนแรงระหว่างกัน เพราะมีข้อตกลงหยุดยิง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ยังเปราะบางเพราะมีรายงานการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงเป็นระยะ ๆ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการสอบสวนข้อเท็จจริงและให้ผู้แทนจากต่างประเทศเข้าพื้นที่เพื่อสังเกตการณ์ เนื่องจากกลุ่มปกป้องสิทธิมนุษยชนได้เรียกร้องให้สหประชาชาติ (UN) ตั้งประเด็นสอบสวนว่าเหตุการณ์นี้ มีการกระทำที่เข้าข่ายก่ออาชญากรรมสงครามหรือไม่
นอกจากนี้ เหตุการณ์ปะทะที่เกิดขึ้นทำให้ทั้ง 2 ฝ่าย รวมทั้งประเทศอื่น ๆ ได้เห็นศักยภาพและขีดความสามารถด้านการทหารของไทยและกัมพูชา โดยเห็นได้ว่าทั้งไทยและกัมพูชามียุทโธปกรณ์พร้อมทำสงคราม ซึ่งได้รับการสนับสนุนหรือทำข้อตกลงซื้อ – ขายจากต่างประเทศ เช่น จีน รัสเซีย สวีเดน และสหรัฐฯ
สื่ออ้างความเห็นของสถาบัน Stockholm International Peace Research Institute (SIPRI) ที่ประเมินว่า กรณีกัมพูชามีระบบยิงจรวดหลายลำกล้องรุ่น PHL-81 สะท้อนว่ากัมพูชามีความร่วมมือด้านการทหารใกล้ชิดกับจีนอย่างมาก รวมทั้งมีอาวุธสำคัญที่ได้รับมาจากการทำข้อตกลงกับรัสเซีย เช่น รถถังรุ่น BMP-3 ขณะที่ไทยมียุทโธปกรณ์ที่มีความสามารถในการโจมตีทางอากาศสูงมาก ทั้ง บ.โจมตีรุ่น F-16 อากาศยานไร้คนขับ และ บ.รุ่น Gripen ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศประเมินว่าไทยและกัมพูชามีอาวุธพร้อมสำหรับการเผชิญความขัดแย้งระดับสูงซึ่งเสี่ยงขยายขอบเขตพื้นที่ปะทะและเพิ่มบรรยากาศความตึงเครียดระหว่างประเทศในระยะยาว
นอกจากประเด็นความสามารถทางการทหารสื่อรายงานติดตามความคืบหน้าของไทยและกัมพูชาที่ยังต้องต่อสู้กันในเวทีระหว่างประเทศต่อไปอย่างเข้มข้น เนื่องจากกัมพูชายังไม่ล้มเลิกความพยายามที่จะยื่นเรียกร้องให้นานาชาติตัดสินให้ปราสาทและโบราณสถานในพื้นที่บริเวณพรมแดนไทย-กัมพูชา อยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา ซึ่งประเด็นนี้ยังเป็นปัญหาระหว่างประเทศที่คาดว่าจะยืดเยื้อและเสี่ยงทำให้เกิดความขัดแย้งทางการทหารระหว่างไทยกับกับกัมพูชาได้
ทั้งนี้ สื่ออ้างความเห็นของนาย Charles A. Ray อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำกัมพูชาว่าประเด็นกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่และโบราณสถานดังกล่าว เป็นเรื่องละเอียดอ่อนสำหรับทั้ง 2 ประเทศ และยังไม่มีตัวกลางจากประเทศใดสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ในรูปแบบผลประโยชน์ที่ลงตัว ดังนั้นจึงประเมินว่าการที่กัมพูชายังมุ่งมั่นจะดำเนินการเรื่องยืนยันกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่ปราสาทและโบราณสถานต่าง ๆ จะเป็นชนวนให้เกิดความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชาต่อไป แม้ว่าจะมีข้อตกลงหยุดยิงในพื้นที่แล้วก็ตาม