…..เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าก็ใช่ว่าจะปลอดภัยเสมอไป…… เมื่อเราลองย้อนกลับไปประมาณ 40-50 ปีก่อนที่เทคโนโลยีจะเริ่มเข้ามามีบทบาท เราใช้ชีวิตกันอย่างเรียบง่าย ติดต่อสื่อสารกันด้วยการไปมาหาสู่กัน เขียนจดหมายถึงกัน หรือที่จะสะดวกและรวดเร็วหน่อยก็คือการส่งโทรเลขถึงกัน ส่วนเรื่องเงินๆ ทองๆ นั้น ก็ใช้ธนาณัติในการส่งเงินข้ามจังหวัด ส่วนเวลาจะซื้อของใดก็ใช้เงินสดกันเป็นส่วนมาก และต่อมาเราก็มีธนาคารไว้ใช้ฝาก ถอน และโอน …..แต่ถามว่าในยุคนั้นมีมิจฉาชีพไหม ก็ตอบได้เลยว่ามี แต่รูปแบบของมิจฉาชีพในสมัยก่อน มักจะมาในรูปแบบของเซลล์ขายของ ที่จะถือสินค้าไปขายตามบ้าน พูดคำหวานหว่านล้อมเกี่ยวกับสรรพคุณของสินค้าให้เวอร์เกินจริง ให้ชาวบ้านเชื่อใจ และตกลงตัดสินใจจ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าเหล่านั้น ทั้งๆ ที่คุณภาพก็ไม่ได้ตรงกับสรรพคุณของสินค้าที่เหล่ามิจฉาชีพได้ทำการพูดจาหว่านล้อมไว้ …ซึ่งคนเรานั้นก็มักจะหลงเชื่อในคำโกหก ของผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย แต่กว่าที่เหยื่อจะได้รับรู้ความจริงว่าตนนั้นเป็นเหยื่อให้กับมิจฉาชีพนั้น ก็สายไปเสียแล้ว เพราะการตามหาตามจับตัวในสมัยนั้นทำได้ค่อนข้างยาก ทั้งไหนจะอุปสรรคจากเรื่องเทคโนโลยีที่ยังไม่ทันสมัย ไม่มีกล้องวงจรปิดตามสถานที่ต่างๆ …ไหนจะเทคนิคของมิจฉาชีพที่จะเลือกไปในสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จักตนเอง นอกจากนี้การหลอกลวงของมิจฉาชีพอีกรูปแบบหนึ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนแพร่หลาย คือการเล่นแชร์ ซึ่งก็มีการหลอกลวงและเป็นข่าวดัง ตัวอย่างเช่น แชร์แม่ชม้อย แชร์แม่มณี ซึ่งมีผู้เสียหายและสูญเสียเงินเป็นจำนวนมาก โดยมิจฉาชีพจะใช้วิธีการโฆษณาชวนเชื่อให้เหยื่อมาร่วมลงทุนที่จะได้กำไรมหาศาล …อีกทั้งยังมีการใช้ศาสนามาเป็นเครื่องมือในการหลอกลวง โดยใช้ชื่อวัดในการบังหน้าเรี่ยรายเงินเพื่อนำไปก่อสร้างต่างๆ ภายในวัด แต่สุดท้ายก็นำเงินไปแบ่งกันเอง เมื่อถึงยุคที่เทคโนโลยีเริ่มมีการพัฒนามากขึ้น รูปแบบการหลอกลวงของมิจฉาชีพก็เริ่มมีการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นการดูดเงินจากบัตร ATM ผ่านตู้ หรือการทำธุรกิจเครือข่ายหรือขายตรง และรวมไปถึงวงการซื้อขายหุ้นและสินทรัพย์ดิจิทัล จนกระทั่งในยุคปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตมากขึ้น…