“การขายของ” เป็นการแลกเปลี่ยนสินค้ากันระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภค แต่ด้วยความใหญ่โตของสังคมที่มีความซับซ้อน และมีการบริโภคที่กว้างไกล ทำให้เกิดกระบวนการค้าขายที่มีมากกว่าผู้ผลิตและผู้บริโภค ได้แก่ การเกิดขึ้นของบทบาทผู้ให้บริการทางการขาย และการขนส่ง ซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างการแลกเปลี่ยนสินค้าและค่าใช้จ่าย เป็นการบริการที่เราคุ้นเคยกับคำว่า “พ่อค้าคนกลาง” และยิ่งเส้นทางการส่งสินค้านั้นยาวไกล หรือมีขั้นตอนและการจัดการที่ซับซ้อนมากขึ้นเท่าไหร่ พ่อค้าคนกลางจะยิ่งมีมากขึ้น และแน่นอนว่าทุกอาชีพจะต้องการค่าตอบแทนซึ่งมาจากการบริการจัดหา จัดส่ง เสนอขาย ดูแลสินค้าจนถึงมือผู้บริโภค ทำให้สินค้ามีราคาที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ จึงไม่สามารถรักษาระดับราคาสินค้าให้คงที่เท่ากับราคาสินค้าจากผู้ผลิตได้
การสร้างรายได้ของ “พ่อค้าคนกลาง” ก็ไม่ต่างจากผู้ลงทุน (Trader) ในการอาศัยส่วนต่างทางการเงินในการสร้างผลกำไร พ่อค้าคนกลางสร้างรายได้จากความต่างของราคาสินค้าจากผู้ผลิตและราคาขายให้กับลูกค้า ดังนั้น ค่าตอบแทนที่จะมากหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับการกดราคาผู้ผลิต และการเพิ่มราคาสินค้ากับผู้บริโภค ทำให้ผู้บริโภคต้องแบกรับภาระราคาสินค้าราคาสูง และด้านผู้ผลิต กระบวนการนี้ทักจะทำให้เกิดการแข่งขันกันในการลดต้นทุนการผลิต จนทำให้สินค้าคุณภาพแย่ลงหรือต้องอาศัยการผลิตจำนวนมาก
……นั่นทำให้ “พ่อค้าคนกลาง” กลายเป็นผู้ร้ายที่มีอำนาจในตลาดและคอยเอาเปรียบคนอื่นทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ โดยอาศัยความเชี่ยวชาญจากการล่วงรู้ข้อมูลในการผลิตและปกปิดข้อมูลบางส่วนเพื่อการค้า จึงไม่แปลกว่า อาชีพค้าขายออนไลน์แบบซื้อมาขายไป จึงเป็นอาชีพที่ทำรายได้สูงและเป็นที่นิยมของกลุ่มคนยุคใหม่ที่อยากมีธุรกิจเป็นของตนเอง
ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนของกลไกของ “พ่อค้าคนกลาง” นั่นคือ “ผลผลิตทางการเกษตร” ที่ต้องเห็นเกษตรกรออกมาเทผลไม้ทิ้งเพื่อประท้วงราคาตก แต่ราคาผลไม้ในตลาดยังคงมีราคาสูงอยู่เสมอไม่เป็นไปตามอุปทาน ส่วนอุปสงค์ที่จะซื้อสินค้าในฤดูกาลกลับสูงมากแม้จะมีผลผลิตล้นตลาดก็ตาม ในอีกมุมหนึ่ง ชนิดหรือพันธุ์ที่ถูกนำมาขายก็มีเพียงไม่กี่ชนิด
จากการสำรวจตลาดพบว่า ความหลากหลายของผักที่นำมาใช้ประกอบอาหารมีประมาณ 40% ของพืชผักที่สามารถนำมาประกอบอาหารได้ พืชบางชนิดถูกกีดกันจากแผงผักสดไป เมื่อไม่มีช่องทางการขาย เกษตรกรที่เพาะปลูกก็ต้องเปลี่ยนมาปลูกชนิดหรือพันธุ์ที่ผู้ขายนำมาขาย ทำให้ความหลากหลายทางอาหารลดลง ผักพื้นบ้านถูกแทนที่ด้วยผักนำเข้าจากต่างประเทศ ตามความต้องการขายของพ่อค้าคนกลางจากต่างประเทศ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพที่ไม่ได้รับสารอาหารที่หลากหลายที่เหมาะสมในแต่ละภูมิภาคอีกด้วย
จากการที่ “คนกลางน้ำ” เป็นผู้ชี้เป็นชี้ตายของตลาด สามารถกำหนดคุณภาพสินค้าให้กับผู้บริโภค และสร้างมาตรฐานเพื่อกีดกันผู้ผลิตบางประเภท ในทางกลับกัน ด้วยความสามารถชี้นำตลาดของ “พ่อค้าคนกลาง” สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงการบริโภคได้เช่นกัน เมื่ออำนาจของการเลือกบริโภคไม่ได้เป็นของผู้บริโภคเสมอมา สินค้าคุณภาพดีต้องมีราคาสูง เข้าถึงได้ยาก การโฆษณาถูกใช้เพื่อกระตุ้นยอดขาย แต่พลังในการสร้างค่านิยมของการสื่อสารนั้นสามารถช่วยให้ผู้บริโภคมีความรู้ในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดี ปลอดภัย และมีมาตรฐานได้
ดังนั้น บทบาทของ “พ่อค้าคนกลาง” ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ร้าย หรือผู้ช่วงชิงส่วนต่างของการซื้อมาและขายไปเพียงเท่านั้น หากพ่อค้าคนกลางสามารถเป็น “ผู้สนับสนุนความยั่งยืน” ได้ด้วยการสร้างมาตรฐานสินค้า เพื่อให้ผู้ผลิตผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ไม่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม ไม่สร้างขยะ มีคุณภาพ เพื่อให้ผู้บริโภคเห็นถึงความแตกต่างในการเลือกบริโภคบนมาตรฐานที่ถูกต้อง บนราคาที่สามารถเข้าถึงได้ จากการเฉลี่ยกำไรจากกลุ่มกลางน้ำของพ่อค้าคนกลาง ลงสู่ผู้ผลิตที่อยู่ต้นน้ำอย่างเท่าเทียม ก็จะสร้างความเปลี่ยนแปลงของตลาดให้สามารถประกอบกิจกรรมค้าขายที่แตกต่างไปจากเดิมได้
เราเชื่อว่า ยุคของการหากำไรสูงสุดนั้นได้จบไปแล้ว!! และการค้าเพื่อ “ความยั่งยืน” ภายใต้แนวคิดการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน (Eco-Social Governance หรือ ESG) ที่ผู้ประกอบการและผู้บริโภคในปัจจุบันให้ความสำคัญเลือกสินค้าจากแบรนด์การผลิตที่ผลิตจากวัสดุที่มาจากธรรมชาติ จากกระบวนการที่มีการจ่ายค่าจ้างแรงงานที่เหมาะสม มีการใช้พลังงานในกระบวนการผลิตต่ำ ไม่ใช้พนักงานในส่วนผลิตหนักเกินไป มีอายุการใช้งานได้ยาว ไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ สิ่งเหล่านี้จะเป็นข้อมูลที่ผู้บริโภคใช้ในการเลือกซื้อสินค้ามากกว่าโฆษณาชวนเชื่อในอดีต
นอกจากนี้ ปัจจุบันผู้บริโภคมีความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลผ่านโลกออนไลน์อย่างรวดเร็ว สามารถทราบข้อมูลสินค้าตั้งแต่กระบวนการผลิต การขนส่ง จนถึงมือผู้บริโภค ได้อย่างง่ายดาย จึงเป็นเรื่องยากที่จะบิดเบือนข้อมูลสินค้าเพื่อสร้างผลกำไรอย่างไม่จริงใจ “พ่อค้าคนกลาง” จึงต้องปรับตัวและได้รับบทบาทใหม่ในการดูแลและรับผิดชอบต่อสังคมไปโดยปริยาย ดังนั้น ผู้ประกอบการที่อยู่ในส่วนกลางน้ำ จึงต้องปรับตัวเพื่อสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นได้ตั้งแต่ ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนในสังคมไทยในทุกมิติ.