ความขัดแย้งระหว่างอาร์เมเนียและอาเซอร์ไบจานที่คุกรุ่นจากการปะทะกันมาอย่างยาวนานและต่อเนื่องในพื้นที่นากอร์โน-คาราบัค (Nagorno-Karabakh) กลายมาเป็นประเด็นที่กำลังได้รับความสนใจจากสื่อและประชาคมโลกมากขึ้นในขณะนี้ หลังจากเมื่อ 19 กันยายน 2566 ที่อาร์เซอร์ไบจานเริ่มปฏิบัติการทางทหารครั้งใหม่ในดินแดนนากอร์โน-คาราบัคอีกครั้ง
พื้นที่ภูมิภาคนากอร์โน-คาราบัค มีที่ตั้งอยู่ในบริเวณเทือกเขาคอเคซัสตอนใต้ อยู่ทางตอนเหนือของอิหร่าน และทางตอนใต้ของรัสเซีย โดยในช่วงที่สหภาพโซเวียตล่มสลายและได้มีการประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐอาเซอร์ไบจานขึ้นเมื่อพ.ศ. 2534 พื้นที่ดังกล่าวก็ได้รับการรับรองจากนานาชาติว่าเป็นดินแดนภายใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐบาลอาเซอร์ไบจาน แม้ว่าแท้จริงแล้ว ประชากรส่วนใหญ่จะมีเชื้อสายอาร์เมเนียและมีการบริหารพื้นที่ประหนึ่งเป็นรัฐเอกราชโดยกลุ่มแบ่งแยกดินแดนเชื้อสายอาร์เมเนียก็ตาม โดยพวกเขาจะเรียกตนเองว่าสาธารณรัฐอาร์ตซัค (Republic of Artsakh) จากนั้นมาพลเมืองในพื้นที่และรัฐบาลอาเซอร์ไบจานต่างฝ่ายก็อ้างกรรมสิทธิ์ในดินแดนแห่งนี้ จึงเกิดเป็นกรณีพิพาทขึ้นเรื่อยมา
การกระทบกระทั่งกันระหว่างอาร์เซอร์ไบจานและอาร์เมเนียเกิดขึ้นหลายครั้งในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา และความขัดแย้งที่ใหญ่ที่สุดจนขยายกลายเป็นสงครามนั้นก็เกิดขึ้นในปี 2563 ในครั้งนั้น สงครามระหว่างอาเซอร์ไบจานกับกองกำลังแบ่งแยกดินแดนชาวอาร์เมเนียได้ดำเนินไปเป็นเวลา 44 วัน จบลงด้วยชัยชนะของอาเซอร์ไบจานที่ได้รับการสนับสนุนทางเทคโนโลยีจากตุรกี หลังจากนั้นกองกำลังแบ่งแยกดินแดนอาร์เมเนียและอาเซอร์ไบจานก็ได้ทำข้อตกลงหยุดยิงโดยมีรัสเซียเป็นคนกลางในการเจรจา
หนึ่งในประเด็นสำคัญของข้อตกลงคือ การให้หลักประกันความมั่นคงบริเวณระเบียงลาชิน (Lachin corridor) ซึ่งเป็นเส้นทางบกทางเดียวที่เชื่อมต่อจากอาร์เมเนียเข้าไปสู่รัฐนากอร์โน-คาราบัค โดยทหารรัสเซียเป็นผู้รักษาสันติภาพรับผิดชอบบริเวณเส้นทางนี้ แต่ทว่าข้อตกลงหยุดยิงดังกล่าวถูกละเมิดอยู่หลายครั้งโดยทั้งสองฝ่าย และทั้งสองฝ่ายก็กล่าวหากันและกันว่าทำการโจมตีอย่างหนักต่อพลเรือนในพื้นที่นากอร์โน-คาราบัค และทำให้เกิดการปะทะรุนแรงยิ่งขึ้น
จนกระทั่งเมื่อ ธันวาคม 2565 อาเซอร์ไบจานเริ่มปิดล้อมถนนบริเวณระเบียงลาชิน ที่เป็นเส้นทางหลักในการขนส่งสิ่งของจำเป็นเข้าสู่ดินแดนดังกล่าว ส่งผลให้การเดินทางเข้าออกพื้นที่ระหว่างอาร์เมเนียกับนากอร์โน-คาราบัค เป็นไปด้วยความยากลำบาก ประชาชนเชื้อสายอาร์เมเนียที่อยู่ในพื้นที่แห่งนั้นเผชิญกับสภาวะขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐาน เชื้อเพลิง รวมถึงยาและเวชภัณฑ์ต่าง ๆ จนนานาประเทศหวั่นว่าจะกลายเป็นวิกฤตด้านมนุษยธรรม และอาจรวมถึงการเข้าข่ายการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ด้วย เพราะการปิดกั้นเส้นทางจากอาร์เมเนียไปสู่รัฐนากอร์โน-คาราบัค นำไปสู่ความหิวโหยและอดอยากที่เป็นภัยต่อชีวิต ซึ่งมุ่งเป้าไปที่คนเชื้อสายอาร์เมเนีย
ต่อมาเมื่อ 13 กันยายน 2566 กองทัพอาเซอร์ไบจานได้เปิดฉากยิงปืนใหญ่ถล่มฝ่ายอาร์เมเนียในบริเวณใกล้พื้นที่พิพาทนากอร์โน-คาราบัค โดยมีการยิงตอบโต้จากฝั่งกองกำลังแบ่งแยกชาวอาร์เมเนียด้วย ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะหาทางเจรจาหยุดยิงและตกลงประกาศยุติปฏิบัติการทางทหารในนากอร์โน-คาราบัค เมื่อ 20 กันยายน 2566 โดยกลุ่มแบ่งแยกดินแดนอาร์เมเนียตัดสินใจสลายกองกำลัง ปลดอาวุธ และออกประกาศกฤษฎีกายุบดินแดนนี้ และจะรวมตัวเข้ากับอาเซอร์ไบจานอย่างสมบูรณ์ในเดือนมกราคม พ.ศ.2567
แม้ทางการอาเซอร์ไบจานจะรับประกันว่าชาวอาร์เมเนียที่อาศัยอยู่ในดินแดนนากอร์โน-คาราบัคนี้จะได้รับสิทธิปกป้องคุ้มครอง แต่ก็มีชาวอาร์เมเนียจำนวนไม่น้อยที่กังวลว่าตนเองและครอบครัวจะถูกกดขี่และไม่ได้รับความเป็นธรรมจากอาเซอร์ไบจาน ทำให้มีคนเชื้อสายอาร์เมเนียอพยพออกจากพื้นที่เข้าสู่ประเทศอาร์เมเนียทันที ซึ่งถือเป็นความท้าทายของอาร์เมเนีย ในการเตรียมความพร้อมและมาตรการรองรับผู้ลี้ภัยที่อพยพเหล่านี้
ส่วนความเคลื่อนไหวขององค์การสหประชาชาติ(United Nations: UN) ได้ประกาศว่า จะส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่เข้าไปยังดินแดนนากอร์โน-คาราบัค ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 30 ปีที่ UN จะส่งความช่วยเหลือเข้าไปในพื้นที่
เมื่อพิจารณาถึงพื้นที่นากอร์โน-คาราบัค ที่อยู่ในพื้นที่ทรานส์คอเคเซีย จะเห็นได้ว่าเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญ โดยเป็นจุดที่ยุโรปเชื่อมกับเอเชียตะวันออก และเป็นทางผ่านของท่อส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของอาเซอร์ไบจานจากทะเลสาปแคสเปียนเข้าไปยังไปยังทะเลดำและตุรกีที่จะเชื่อมต่อไปยังยุโรป จึงถือว่าเป็นอีกหนึ่งเส้นทางสำคัญของโลกอีกแห่งหนึ่ง
ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่ดังกล่าว แม้จะอยู่ไกลจากไทย แต่ส่งผลกระทบแก่ภูมิภาคเป็นอย่างมาก อาจนำไปสู่การขัดแย้งทางชาติพันธุ์ ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตหลายหมื่นคน และอีกกว่าล้านคนต้องพลัดถิ่น ทั้งยังเผยให้เห็นความจริงที่ว่า บทบาทของรัสเซียในฐานะผู้รักษาความมั่นคงในบริเวณใกล้เคียงได้ลดลงอย่างมาก จนไม่สามารถปกป้องผลประโยชน์ของพันธมิตรอย่างอาร์เมเนียได้ อันเป็นผลมาจากสงครามกับยูเครน เป็นผลกระทบที่ทำให้เกิดความไม่มั่นคงต่อไปทั่วทั้งทวีปเอเชีย
มาถึงประเด็นที่ว่า นานาชาติควรจะมีบทบาทอย่างไรต่อสถานการณ์นี้ โดยเฉพาะการป้องกันวิกฤตด้านมนุษยธรรม นานาชาติควรร่วมกันเรียกร้องให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามข้อตกลง และเรียกร้องให้อาเซอร์ไบจานจัดให้มีการเข้าถึงอาหาร ที่พักพิง และสิ่งจำเป็นพื้นฐานอื่น ๆ ของประชาชนที่อยู่ในพื้นที่นากอร์โน-คาราบัค นอกจากนี้ยังควรเรียกร้องให้อาเซอร์ไบจานอนุญาตให้เข้าถึงคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศและองค์กรด้านมนุษยธรรมอื่น ๆ และเพื่อให้มั่นใจว่าประชาชนที่ต้องการจะอยู่หรือเดินทางกลับไปยังพื้นที่นากอร์โน-คาราบัคได้รับการเอื้ออำนวยความปลอดภัย เพื่อปกป้องสิทธิและความปลอดภัยของประชากรทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในอาเซอร์ไบจาน รวมถึงประชากรอาร์เมเนียด้วย
ส่วนประเด็นที่น่าติดตามต่อจากนี้ คือ ต้องดูกันต่อไปว่า เมื่อมีการประกาศผนวกพื้นที่นากอร์โน-คาราบัคแก่อาเซอร์ไบจานแล้วนั้น เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป หากสามารถรวมตัวพื้นที่นากอร์โน-คาราบัค เข้ากับอาเซอร์ไบจาน จะเป็นการปิดฉากความขัดแย้งในพื้นที่ดังกล่าวได้ในที่สุดหรือไม่ ถ้าหากความขัดแย้งรุนแรงบานปลายขึ้นอีกครั้ง จะมีเหล่ามหาอำนาจใดบ้างที่ลงมาให้ความช่วยเหลือและหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาวิกฤตด้านมนุษยธรรมได้หรือเปล่า หากสถานการณ์ยังไม่สงบ ก็อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่ออุปทานพลังงาน ทำให้ราคาน้ำมันโลกที่ผันผวนอยู่แล้วจากกรณีสงครามในยูเครนยิ่งผันผวนขึ้นไปอีก รวมถึงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทั่วโลกด้วย
อ้างอิง
https://thestandard.co/russia-ukraine-armenia-azerbaijan/
นากอร์โน-คาราบัค ถึงคราว ‘สิ้นชาติ’ ถาวรแล้วหรือไม่? หลังผู้คนอพยพตั้งรกรากในอาร์เมเนียแทน
https://www.aljazeera.com/news/2023/4/24/explainer-what-is-nagorno-karabakh-why-are-tensions-rising
https://www.ft.com/content/38a592b7-05e5-4264-b22d-87e5366d96f3
https://thainews.prd.go.th/th/news/print_news/TCATG201012111557812