เซโตะอุจิ ญี่ปุ่นในมุมที่คุณอาจไม่เคยเห็น
ค้นหาญี่ปุ่นในมุมที่คุณอาจไม่เคยเห็นผ่านการท่องเที่ยวภูมิภาคเซโตะอุจิไปกับ The intelligence พาเที่ยว
ค้นหาญี่ปุ่นในมุมที่คุณอาจไม่เคยเห็นผ่านการท่องเที่ยวภูมิภาคเซโตะอุจิไปกับ The intelligence พาเที่ยว
เมษายนหน้าร้อนแบบนี้ มีวันสำคัญและเทศกาลอะไรที่น่าสนใจบ้าง!? ชวนไปสำรวจทั่วโลกกับ Int Podcast ตอน เทศกาลและวันที่น่าสนใจใน…เมษาหน้าร้อน
การสู้รบระหว่างรัสเซีย-ยูเครนยังคงเป็นเรื่องใหญ่ที่สื่อรายงานข่าวอยู่ทุกวัน ๆ จนเรานึกสงสัยว่ามันจะมีทางออกของเรื่องนี้ไหมที่ไม่ใช่แนวทางการสู้รบหรือปฏิบัติการทางทหารระหว่างกัน…. เมื่อได้สำรวจก็พบข้อมูลว่า สวิตเซอร์แลนด์กำลังมุ่งมั่นจะจัดการประชุมนานาชาติเพื่อหาแผนสันติภาพให้ยูเครนทันในช่วงฤดูร้อนนี้ หรือการประชุมที่มีชื่อเรียกว่า Ukraine Peace Conference ระหว่าง 15-16 มิถุนายน 2567 โดยความคาดหวังของสวิตเซอร์แลนด์คือให้ผู้แทนของหลาย ๆ ประเทศสนับสนุนการแก้ไขความขัดแย้งนี้ร่วมกัน เพราะสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนที่สู้รบยืดเยื้อกันยาวนานมามากกว่า 2 ปี สร้างความเสียหายต่อบรรยากาศความมั่นคงโลกในมากมายหลายมิติ เพราะทุกสงครามไม่เป็นผลดีต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจโลก และความร่วมมือระหว่างประเทศ บทความนี้อยากจะเน้นไปสำรวจความพยายามของนานาชาติที่จะยุติสงคราม ด้วยการเสนอ “แผนสันติภาพ” เพื่อพิสูจน์ว่า แนวคิดที่ว่านานาชาติควรจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศ (external engagement) ตามแนวคิด cooperative security หรือการแสวงหาความร่วมมือเพื่อรักษาความมั่นคง ทั้งกับกลุ่มที่เป็นพันธมิตรกัน และกลุ่มที่มีความคิดเห็นแตกต่างกัน หรือแม้กระทั่งเป็นศัตรูคู่ขัดแย้งกัน ก็ยังสามารถร่วมมือกันได้นั้น จะยังคงเป็นแนวทางที่ดีในยุคสมัยอันวุ่นวายและซับซ้อนนี้ไหม และถ้าผลักดันสำเร็จ “แผนสันติภาพเพื่อยุติสถานการณ์ยูเครน” จะกลายเป็นโมเดลแก้ไขความขัดแย้งในพื้นที่อื่น ๆ ได้หรือไม่ หลายประเทศมีความพยายามจะเสนอตัวเป็นผู้ไกล่เกลี่ยความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครนรอบนี้ เพราะรัสเซียกับยูเครนเหมือนจะเจรจากันเองไม่ได้ เนื่องจากมีเงื่อนไขในแผนการสันติภาพที่แตกต่างกัน อย่างยูเครนมีแผนสันติภาพ 10 ข้อที่ประกาศเมื่อปลายปี 2565 เน้นต้องการให้รัสเซียถอนทหารออกไปทั้งหมด ส่วนรัสเซียยืนยันจะต้องอยู่ในภูมิภาคตะวันออกของยูเครนต่อไป เพื่อปกป้องประชาชนในพื้นที่ที่ยึดมาจากการกดขี่ข่มเหงของยูเครนได้ เท่ากับว่า…แผนสันติภาพของทั้ง 2…
สำนักข่าว Mizzima รายงานเมื่อ 22 เม.ย.67 อ้างประกาศของกระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เมียนมา เมื่อ 12 เม.ย.67 ให้ภาคเอกชนเปลี่ยนเส้นทางขนส่งสินค้า จากที่ผ่านด่านชายแดนลเวเจ (Lweje) รัฐคะฉิ่น กับเมืองชางฟง (Zhangfeng) มณฑลยูนนานของจีน ไปใช้เส้นทางขนส่งผ่านชายแดนไทย เช่น ด่านชายแดนแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก รัฐฉานตอนใต้ และด่านชายแดนระนอง-เกาะสอง ภาคตะนาวศรี เนื่องจากการสู้รบระหว่างกองทัพเมียนมากับกองทัพคะฉิ่นอิสระ (KIA) รุนแรงขึ้นตั้งแต่ต้น มี.ค.67 จนกระทั่ง KIA ยึดพื้นที่เมืองลเวเจได้อย่างเบ็ดเสร็จ เมื่อ 4 เม.ย.67 และส่งผลให้การขนส่งสินค้าผ่านด่านชายแดนลเวเจหยุดชะงัก
พบกับรายการ The Intelligence Update อัปเดตสถานการณ์ต่างประเทศที่น่าสนใจ วันนี้เราจะมาพูดคุยเรื่อง “อินเดียอาจเพิ่มการสะสมอาวุธในเอเชีย ตอ.ต.”
นายหวัง เหวินบิน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนแถลงเมื่อ 23 เม.ย.67 กรณีตำรวจสหราชอาณาจักรและเยอรมนีจับกุมบุคคลต้องสงสัยเป็นสายลับให้แก่หน่วยข่าวกรองจีนเมื่อ 22 และ 23 เม.ย.67 ว่า ทฤษฎีภัยคุกคามจากสายลับจีน (Chinese spy threat theory) ไม่ใช่ประเด็นใหม่ในยุโรป และว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อใส่ร้ายจีนและทำลายบรรยากาศความร่วมมือระหว่างจีนกับยุโรป พร้อมกับยืนยันว่าจีนดำเนินความร่วมมือกับทุกประเทศบนพื้นฐานของการเคารพและไม่แทรกแซงกิจการภายในกันภายใต้กรอบกฎหมาย ทั้งนี้ เมื่อ 22 เม.ย.67 ตำรวจอังกฤษจับกุมชาย 2 คนโดยตั้งข้อหาเป็นสายลับให้จีน โดยผู้ต้องหารายหนึ่งเป็นนักวิจัยของ สมาชิกสภาพรรคอนุรักษ์นิยม และเมื่อ 23 เม.ย.67 เยอรมนีจับกุมผู้ต้องสงสัย 3 ราย โดยรายหนึ่งเป็นผู้ช่วยของสมาชิกรัฐสภายุโรปถูกตั้งข้อหาในความผิดฐานจารกรรมจากการส่งมอบข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่อาจใช้ในกิจการทางทหารให้แก่หน่วยข่าวกรองจีน
สำนักข่าวยอนฮับของเกาหลีใต้ และเว็บไซต์ NK News รายงานเมื่อ 24 เม.ย.67 อ้างการรายงานของ สำนักข่าว KCNA ของทางการเกาหลีเหนือว่า นายยุน จ็อง-โฮ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าต่างประเทศของเกาหลีเหนือพร้อมคณะเดินทางออกจากเกาหลีเหนือเมื่อ 23 เม.ย.67 เพื่อเยือนอิหร่าน (ไม่ระบุห้วงเยือนที่ชัดเจน) ซึ่งเป็นการเยือนอิหร่านของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเกาหลีเหนือครั้งแรกในรอบ 5 ปี ทั้งนี้หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า เกาหลีเหนือต้องการพัฒนาความสัมพันธ์และความร่วมมือทางทหารที่ใกล้ชิดกับอิหร่าน ผู้เชี่ยวชาญด้านเกาหลีเหนือวิเคราะห์ว่า เกาหลีเหนืออาจขอรับความช่วยเหลือด้านเทคโนโลยีขีปนาวุธจากอิหร่าน เฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาขีปนาวุธขับเคลื่อนด้วยเชื้อเพลิงแข็งและติดตั้งหัวรบความเร็วเหนือเสียง ขณะที่ประเทศตะวันตกอ้างว่า เกาหลีเหนือและอิหร่านมีความร่วมมือด้านการพัฒนาอาวุธในอดีต แต่ไม่ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดเกี่ยวกับความร่วมมือดังกล่าวในปัจจุบัน นอกจากทั้งสองประเทศสนับสนุนอาวุธให้รัสเซียทำสงครามในยูเครน
ฟิลิปปินส์เป็นประเทศหมู่เกาะที่ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก ๆ กับการเพิ่มขีดความสามารถด้านการทหารเพื่อปกป้องความมั่นคงและปลอดภัยทางทะเล แม้เมื่อก่อนกองทัพฟิลิปปินส์จะให้ความสำคัญกับเรื่องการปราบปรามกองกำลังติดอาวุธในประเทศเป็นอันดับแรก แต่พอการเมืองและความมั่นคงภายในสงบมากขึ้น ประเทศนี้ก็ต้องปรับตัวและเตรียมพร้อมรับมือกับอันตรายจากภายนอก เพราะประเทศนี้ล้อมด้วยทะเลทุกด้าน กองทัพฟิลิปปินส์จึงต้องกระจายกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ให้พร้อมเผชิญอันตรายจากทุกหนแห่ง ว่ากันว่า…. กองทัพฟิลิปปินส์หรือ Armed Forces of the Philippines (AFP) ประกอบด้วยกำลังพลพร้อมรบอย่างน้อย 125,000 นาย และยังมีกำลังพลสำรองประมาณ 130,000 นาย บทบาทของกองทัพฟิลิปปินส์สำคัญต่อความมั่นคงของชาติอย่างมาก เพราะนอกจากจะมีบทบาททางการเมืองหลายครั้ง กอบกู้วิกฤตทางการเมืองจากผู้นำที่ฉ้อโกงได้หลายสมัย กองทัพฟิลิปปินส์ยังถือว่าเป็นกลไกและช่องทางเชื่อมต่อความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจ อย่างสหรัฐอเมริกามาโดยตลอดด้วย ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดในฐานะพันธมิตรด้านความมั่นคงระหว่างฟิลิปปินส์กับสหรัฐอเมริกา ทำให้ฟิลิปปินส์ไม่เคยหายไปจากการเมืองระหว่างประเทศ ตลอดจนทำให้เรื่องการพัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถด้านการป้องกันประเทศ (national defense) เป็นเรื่องที่รัฐบาลฟิลิปปินส์ต้องให้ความสำคัญอยู่เสมอ ………..เมื่อเน้นไปที่ความสัมพันธ์ทางการทหารระหว่างสหรัฐฯ กับฟิลิปปินส์ อาจย้อนไปได้ถึงช่วงปี 2444 ที่สหรัฐฯ เริ่มปกครองฟิลิปปินส์ ตามสนธิสัญญาปารีส นานมากกว่า 50 ปี ต่อจากสเปน ทำให้รูปแบบการเมืองและการกำหนดนโยบายของอเมริกามีอิทธิพลต่อฟิลิปปินส์อย่างมาก รวมทั้งส่งผลให้การกำหนดนโยบายต่าง ๆ ของฟิลิปปินส์เอื้อประโยชน์ต่ออเมริกาจนถึงทุกวันนี้ …..ที่สำคัญก็คือ ทำให้สหรัฐฯ กับฟิลิปปินส์ยังคงมีความร่วมมือด้านการทหารที่ใกล้ชิดกันอย่างมาก เพราะมีสนธิสัญญาป้องกันร่วม หรือ Mutual Defense…
สำนักข่าว RT และ Al Jazeera รายงานเมื่อ 22 เม.ย.67 ว่า กองทัพรัสเซียใช้ขีปนาวุธร่อน Kh-59 ยิงถล่มเสาส่งสัญญาณโทรทัศน์ขนาดใหญ่ สูง 240 เมตร ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ป่าในเมืองคาร์คีฟ ฝั่งตะวันออกของยูเครน ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต แต่สร้างความเสียหายแก่โครงสร้างหนึ่งในสามของเสาสัญญาณ และส่งผลกระทบต่อการส่งสัญญาณโทรทัศน์ดิจิทัลภายในเมือง รัสเซียอ้างว่ากองทัพยูเครนใช้เสาส่งสัญญาณดังกล่าวติดตั้งอุปกรณ์ทางเทคนิคต่างๆ รวมถึงอากาศสื่อสารกับระบบป้องกันภัยทางอากาศ ด้านประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน ระบุว่าการโจมตีเสาสัญญาณเป็นส่วนหนึ่งของแผนการรัสเซียที่จะพลักดันพลเมืองยูเครนให้อพยพออกจากเมืองคาร์คีฟ
ข่าวสารนิเทศองค์การสหประชาชาติ (UN) รายงานเมื่อ 22 เม.ย.67 อ้างแถลงของนาย Stéphane Dujarric โฆษกเลขาธิการ UN ในวันเดียวกันว่า นายอันโตนิอู กุแตเรซ เลขาธิการ UN ยังคงให้ความสำคัญต่อการตรวจสอบการทำงานของสำนักงานบรรเทาทุกข์และจัดหางานของสหประชาชาติสำหรับผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ในตะวันออกใกล้ (United Nations Relief and Works Agency for Palestine Refugees in the Near East-UNRWA) ภายหลังที่อิสราเอลอ้างว่าเจ้าหน้าที่ UNRWA มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุโจมตีอิสราเอลเมื่อ 7 ต.ค.66 โดยตั้งกลุ่มตรวจสอบอิสระ (Independent Review Group) มี นางCatherine Colonna อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส เป็นประธาน เพื่อตรวจสอบปัญหาความเป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่ด้านมนุษยธรรมของ UNRWA ซึ่งกลุ่มตรวจสอบอิสระจัดทำรายงานขั้นสุดท้าย (final report) เสนอเลขาธิการ UN แล้ว เมื่อ 20 เม.ย.67 นอกจากนี้…