นโยบายใหม่ของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 ที่มีผลต่อแรงงานข้ามชาติ
ในช่วงที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ อีกครั้ง นโยบายด้านแรงงานข้ามชาติและการอพยพของเขาได้รับการปรับเปลี่ยนไปในทิศทางที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อผู้ที่เดินทางเข้ามาทำงานในประเทศสหรัฐฯ นโยบายเหล่านี้ไม่เพียงแต่มีผลกระทบต่อแรงงานที่ไม่มีเอกสารเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อแรงงานที่มีวีซ่าทำงานอย่างถูกต้อง รวมไปถึงภาคธุรกิจที่ต้องพึ่งพาแรงงานข้ามชาติในหลายอุตสาหกรรม หนึ่งในนโยบายที่โดดเด่นและเป็นที่ถกเถียงกันมากที่สุดคือ การเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมายครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ รัฐบาลของประธานาธิบดีทรัมป์ได้เพิ่มงบประมาณและทรัพยากรให้กับหน่วยงานตรวจคนเข้าเมือง (ICE) เพื่อเร่งดำเนินการจับกุมและส่งตัวผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารกลับประเทศเดิม ซึ่งทำให้แรงงานข้ามชาติที่ไม่มีเอกสารต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัว และส่งผลให้แรงงานในภาคเกษตรกรรม รวมถึงอุตสาหกรรมบริการ เช่น ร้านอาหาร โรงแรม และการก่อสร้าง ต้องเผชิญกับปัญหาขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก การที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศใช้มาตรการเข้มงวดต่อแรงงานข้ามชาติและผู้อพยพเป็นผลมาจากนโยบายและแนวคิดที่เขายึดถือมาตลอด นั่นก็คือนโยบาย “America First” หรือ “อเมริกาต้องมาก่อน” ซึ่งเป็นหลักการสำคัญที่เขาใช้หาเสียงและดำเนินนโยบายตั้งแต่การดำรงตำแหน่งครั้งแรกในปี 2017 นโยบายเหล่านี้มีเป้าหมายหลักอยู่ที่การปกป้องผลประโยชน์ของชาวอเมริกัน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง และโครงสร้างสังคมแม้ว่านโยบายเหล่านี้จะได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มที่ต้องการลดการอพยพ แต่ก็ก่อให้เกิดข้อถกเถียงถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจและมนุษยธรรม โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาแรงงานข้ามชาติและแรงงานไร้ฝีมือ ประธานาธิบดีทรัมป์ยังเดินหน้าสร้างกำแพงชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโกต่อไป เพื่อสกัดกั้นการลักลอบข้ามแดนของผู้อพยพผิดกฎหมาย นโยบายนี้สะท้อนถึงแนวคิด “America First” ของเขา ที่ต้องการให้โอกาสในการทำงานตกเป็นของชาวอเมริกันก่อน อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าการปิดกั้นโอกาสของผู้อพยพอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะยาว เนื่องจากแรงงานข้ามชาติเป็นฟันเฟืองสำคัญในภาคการผลิตและบริการ ในด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลประธานาธิบดีทรัมป์ยังได้ดำเนินนโยบายลดภาษีเพื่อกระตุ้นการเติบโตของธุรกิจ แต่ขณะเดียวกันก็ได้เพิ่มภาษีศุลกากรสำหรับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ…