คนผิวเผือกจะมีตัวที่ขาวซีด เรือนผมและดวงตามีสีจาง ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมที่ส่งผลให้ร่างกายไม่อาจผลิตเม็ดสีได้ และมักเกิดมาพร้อมกับปัญหาสุขภาพ ฉะนั้นแสงจึงเป็นศัตรูตัวฉกาจ เพราะเมื่อปราศจากเม็ดสีในร่างกาย พวกเขาจึงไวต่อแสงมาก ทำให้ไม่สามารถอยู่ท่ามกลางแสงแดดได้เป็นเวลานาน อีกทั้งยังเผชิญความเสี่ยงจะเป็นมะเร็งผิวหนังมากกว่าคนทั่วไปถึงพันเท่า …..แต่ที่น่าเห็นใจในชะตาของคนเหล่านี้ยังมียิ่งกว่านั้น คือการที่บางคนต้องเผชิญกับการถูกคุกคามจากผู้ที่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์มนต์ดำในแอฟริกา ซึ่งบางครั้งนำไปสู่การถูกทำร้ายหรือฆาตกรรม โดยคนผิวเผือกจำนวนมากถูกทรมานและสังหาร เพราะมีความเชื่อกันว่าชิ้นส่วนจากร่างกายที่มีสีผิวผิดแผกจะนำความโชคดีมาให้
ทั้งนี้ในทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือมีอัตราการเกิดคนผิวเผือกจะมีเพียง 1 ใน 20,000 คนเท่านั้น ซึ่งเป็นภาวะที่หาได้ยาก แต่ในแอฟริกามีอัตราการเกิดอยู่ที่ 1 ใน 5,000 คน โดยแทนซาเนียคือประเทศที่มีจำนวนประชากรผิวเผือกมากที่สุด (ทุกๆ 1 ใน 1,400 คน) นั่นไม่ได้แปลว่าผู้คนจะยอมรับมันได้ เพราะด้วยเหตุที่มีฐานะประเทศยากจนอันดับต้นๆ ของโลก ผู้คนส่วนใหญ่จึงเข้าไม่ถึงการศึกษา ทำให้ยังไม่เข้าใจถึงโรคทางพันธุกรรม ดังนั้นผู้คนส่วนใหญ่จึงเชื่อว่าการมีผิวเผือกคือพลังอำนาจวิเศษ หากผู้ใดได้ครอบครองอวัยวะหรือชิ้นส่วนร่างกายของคนผิวเผือกแล้วจะนำพาโชคดีมาให้ บ่อยครั้งเกิดการลักพาตัวทารกหรือเด็กๆ บางรายถูกฆาตกรรม หรือบางรายถูกทำให้พิการ เมื่อปี 2549 มีคนผิวเผือกถูกสังหารอย่างน้อย 76 คน นิ้วมือ แขน และขาพวกเขา ถูกตัดไปทำพิธีกรรม เครื่องรางของขลัง แม้กระทั่งเลือดก็ถูกเก็บไปทำน้ำมนต์
…….แต่ละหมู่บ้านที่ห่างไกลของแอฟริกายังมีผู้คนที่ยึดมั่นในไสยศาสตร์มนต์ดำ โดยแต่ละหมู่บ้านจะมีหมอผีประจำหมู่บ้าน ซึ่งหมอผีเหล่านี้จะมีบทบาทสำคัญในฐานะแพทย์ผู้รักษาอาการเจ็บป่วยของผู้คนด้วยพืชสมุนไพร แต่อีกมุมหนึ่งพวกเขายังสามารถทำพิธีสาปแช่งศัตรูให้กับชาวบ้านที่มีเรื่องบาดหมางกัน หรือเสริมพลังความโชคดีให้แก่ผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จอีกด้วย การเลือกตั้งในแทนซาเนียปี 2558 สะท้อนให้เห็นความจริงนี้ เมื่อช่วงเวลาดังกล่าวมีจำนวนเหตุสังหารคนผิวเผือกสูงเป็นประวัติการณ์ มีการจ้างวานจากบรรดานักการเมืองท้องถิ่นให้ชาวบ้านล่าอวัยวะของคนผิวเผือก เพื่อนำมาทำพิธีให้ฝ่ายตนเป็นผู้ชนะ ทั้งนี้เกิดเหตุก่ออาชญากรรมที่สูงจนน่าตกใจ ส่งผลให้รัฐบาลเปิดปฏิบัติการจับกุมหมอผีเถื่อนทั่วประเทศที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนรักษาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยสามารถจับกุมได้มากกว่า 200 ราย
เมื่อชีวิตไม่ปลอดภัยหนทางเอาตัวรอดคือหลีกลี้จากสังคมนำไปสู่การเดินทางหลบหนีไปยังเกาะอูเคเรเว ซึ่งเป็นเกาะขนาดใหญ่ที่สุดในทะเลสาบวิกตอเรีย และยังเป็นเกาะล้อมรอบด้วยน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุดของทวีปแอฟริกา แต่วันนี้เป็นที่รู้จักใหม่ในฐานะสถานที่ลี้ภัยของบรรดาคนเผือกในแทนซาเนีย ด้วยพื้นที่ขนาดจำกัดของเกาะ การรักษาความปลอดภัยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้คนผิวเผือกรู้สึกปลอดภัย อบอุ่น จนสามารถเรียกที่นี่ว่าบ้าน นอกเหนือจากนโยบายกวาดล้างหมอผีเถื่อนแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยลดอาชญากรรมต่อคนผิวเผือกลงคือ การเพิ่มแรงกดดันไปยังชุมชน โดยรัฐบาลแทนซาเนียออกกฎหมายว่าหากคนผิวเผือกในชุมชนนั้นถูกฆาตกรรม ผู้นำชุมชนต้องเป็นผู้รับผิดชอบ แรงกดดันนี้ส่งผลให้แต่ละชุมชนผลักดันคนผิวเผือกไปยังสถานที่ปลอดภัย
….นอกจากเรื่องที่น่าสะเทือนใจที่คนผิวเผือกประสบในแอฟริกาอย่างแทนซาเนียข้างต้นแล้ว ชีวิตคนเผือกในอีกหลายแห่งก็มักรันทดมากน้อยไม่ต่างกันนัก.. เมื่อปี 2564 เรื่องราวของเสวี่ยลี่ นางแบบดังก็ถูกเปิดเผยว่าเป็นเด็กเผือกที่พ่อแม่นำไปวางทิ้งไว้หน้าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งหนึ่งในจีน จนอายุ 3 ขวบถึงมีครอบครัวชาวดัตช์รับไปเลี้ยง เธอเล่าว่าช่วงที่เกิดจีนมีนโยบายลูกคนเดียว จึงแน่นอนว่าย่อมโชคไม่ดีอย่างยิ่งถ้าครอบครัวใดมีเด็กเผือก ทำให้บางคนอาจถูกขังไว้และบางคนเช่นตนก็ถูกทิ้ง แต่อย่างไรก็คงโชคดีกว่าที่แอฟริกาที่เด็กเผือกมักถูกล่า แขนขาอาจถูกตัด รึถูกฆ่า……ฉันโชคดีที่ฉันแค่ถูกทิ้ง….เสวี่ยลี่กล่าว